โอกาสที่ประเทศไทยของเราจะมีรัฐบาลใหม่ โดยสมบูรณ์ใกล้เข้ามาทุกขณะแล้วนะครับ...เมื่อดูจาก “ไทม์ไลน์” ที่เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา

วันนี้ (อังคารที่ 5 กันยายน) เวลา 14.00 น. นายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน จะนำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าฯถวายสัตย์ปฏิญาณต่อองค์พระมหากษัตริย์ตามที่ระบุไว้ว่าในมาตรา 161 ของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน

ส่วนการ “แถลง” นโยบายต่อรัฐสภาตามมาตรา 162 นั้น ข่าวรายงานว่า กำลังประสานกับทางรัฐสภาอยู่ อาจเป็นวันที่ 11 กันยายน

ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามนี้ ประเทศเราน่าจะมีรัฐบาลใหม่ที่สามารถบริหารประเทศได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่วันที่ 12 กันยายนเป็นต้นไป

อดใจรออีกแค่สัปดาห์เดียวเท่านั้น

ในระหว่างที่คนไทยกำลังรอรัฐบาล “ชุดใหม่” ที่กำลังจะมาอยู่นี้ ผมขอถือโอกาสเขียน “มินิซีรีส์” ถึง “รัฐบาลเก่า” ไปพลางๆก็แล้วกัน

นักข่าวทำเนียบเอย ข้าราชการทำเนียบเอย รวมทั้งรัฐมนตรีอีกหลายๆท่าน ได้จัดงานเลี้ยงส่งและเข้าแถวส่งดอกไม้ไหว้อำลา พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วยบรรยากาศที่ซาบซึ้งตรึงใจดังที่เราได้เห็นกันไปแล้วผ่านสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ และสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ

สำหรับผมยังไม่ได้เขียนอำลาท่านเลย เพราะติดพันอยู่กับการเขียนถึงรัฐบาลใหม่ และเส้นทางของประเทศไทยที่จะเดินไปข้างหน้า

เพิ่งจะได้โอกาสร้องเพลง “ดอกไม้ให้คุณ” ร่ำลาท่านในวันนี้ คงจะไม่ช้าเกินไปนัก

ท่านผู้อ่านที่ติดตามคอลัมน์นี้มาโดยตลอดคงจะพอจำได้ว่า ตลอดเวลา 9 ปีที่บิ๊กตู่เข้ามาบริหารประเทศนั้น ผมมักเขียนไปในเชิงให้กำลังใจท่านมากกว่าการตำหนิติติง

...

เพราะผมเห็นว่า “รัฐบาล” ทุกชุดของท่านได้ทุ่มเททำงานหนักและพยายามแก้ปัญหาทุกๆด้านด้วยความเอาใจใส่มาโดยตลอด

ผมใช้คำว่า “รัฐบาล” ก็เพราะ “ลุงตู่” ไม่ได้ทำคนเดียว...แท้ที่จริงแล้วเป็นผลงานร่วมกันของคณะรัฐมนตรีในแต่ละยุคสมัย โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจจะเห็นได้ชัดเจนมาก

เริ่มด้วยรองนายกฯ ฝ่ายเศรษฐกิจคนแรกคือ “หม่อมอุ๋ย” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้นๆประมาณปีเศษๆ แต่หม่อมอุ๋ยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คุณ สมหมาย ภาษี ก็ริเริ่มจัดระเบียบทางด้านการเงินการคลัง ที่นิยมเรียกกันว่า “วินัยทางการคลัง” ซึ่งเละตุ้มเป๊ะในยุครัฐบาลก่อนหน้านั้น (น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ให้เข้ารูปเข้ารอยเป็นบรรทัดฐานไว้ในเบื้องต้น

ต่อมาด้วยเหตุผลทางการเมืองบางประการ ทำให้มีการเปลี่ยนตัวรองนายกรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจจาก “หม่อมอุ๋ย” มาเป็น ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ทำให้รัฐบาลลุงตู่ได้รัฐมนตรีคลังท่านใหม่ อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ และทีม “4 กุมาร” เข้ามาเสริมด้านเศรษฐกิจ

เกิดการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบ “ดิจิทัล” อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะการใช้จ่ายและการรับเงินผ่านระบบมือถือ หรือทางออนไลน์ได้เกิดขึ้นในช่วงนี้

ตามมาด้วยอภิมหาโครงการ “เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก” หรือ EEC ที่จะใช้เงินก้อนใหญ่ (กว่า 1 ล้านล้านบาทในช่วงแรก) แต่ก็เป็นความหวังใหม่ของประเทศในช่วงเวลาดังกล่าว และยังเป็นที่หวังอย่างมากมาจนถึงปัจจุบัน

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นเอง ก็ได้บังเกิดตัวเลขขึ้นตัวเลขหนึ่ง ซึ่งฮิตยิ่งกว่าตัวเลขใบ้หวยและเป็นที่กล่าวถึงทั่วประเทศไทย ได้แก่ ตัวเลข “4.0” หรือ “Thailand 4.0” ที่รัฐบาลลุงตู่นำมาเป็นตัวเลขแห่งความหวัง ที่ประเทศไทยจะต้องเดินไปถึงให้ได้

ต้องยอมรับว่า 4 ปีแรกของ “ลุงตู่” (พ.ศ.2557-2562) เป็นยุคเฟื่องฟูของท่านจริงๆ และสร้างความหวังให้แก่คนไทยและประชาชนชาวไทยอย่างยิ่งยวด จะเรียกเสียว่า “ยุคทอง” ของท่านก็คงจะได้กระมัง

ถ้าบิ๊กตู่อำลาเสียตอนนั้น อาจจะเป็น “วีรบุรุษ” น้องๆ “ป๋าเปรม” ไปแล้วก็ได้...แต่เพราะโครงการบางโครงการยังไม่เสร็จ ท่านจึงประกาศ อยู่ต่อเพื่อสานฝันหลังมีการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อเดือนมีนาคม 2562

ครับ! เกิดอะไรขึ้นบ้าง? น่วม...อย่างไรบ้าง? ท่านผู้อ่านคงทราบคำตอบดีอยู่แล้วละ...แต่เพื่อให้การบันทึกถึงท่านครบถ้วน...พรุ่งนี้ เรามาทบทวนย่อๆอีกสักวันก็แล้วกัน.

“ซูม”

คลิกอ่านคอลัมน์ "เหะหะพาที" เพิ่มเติม