รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ย้ำผู้สูงอายุไม่ต้องกังวล “ได้รับเบี้ยเหมือนเดิม” เผย 3 ประเด็น คลายข้อสงสัย ยัน หลักเกณฑ์ผู้มีสิทธิได้รับเบี้ยยังชีพใหม่ อยู่บนหลักของความทั่วถึงและเป็นธรรม
วันที่ 15 สิงหาคม 2566 พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เปิดเผยถึงระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2566 ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม 2566 ซึ่งเป็นประเด็นสงสัยของพี่น้องประชาชนอยู่ในขณะนี้นั้น มีประเด็นที่ต้องสร้างความรับรู้ความเข้าใจใน 3 ประเด็น ดังนี้
ประเด็นที่ 1 ที่มาของการแก้ไขระเบียบกระทรวงมหาดไทยฯ เกิดขึ้นจากคณะกรรมการกฤษฎีกาได้มีคำวินิจฉัย เรื่อง การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่มีความซ้ำซ้อนกับสวัสดิการอื่น โดยระบุว่า ระเบียบคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ และระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2552 กล่าวคือ ในอดีตผู้ที่ได้รับสวัสดิการภาครัฐ เช่น บำเหน็จ บำนาญ จะไม่ได้รับเบี้ยผู้สูงอายุ ทั้งนี้อาจจะเป็นผู้มีรายได้น้อย ไม่พอกับการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นการขัดแย้งกับพระราชบัญญัติผู้สูงอายุ พ.ศ.2546 และไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ดังนั้น “กระทรวงมหาดไทยจึงจำเป็นต้องปรับแก้ระเบียบฯ ให้สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย โดยเปิดกว้างให้ผู้สูงอายุที่มีรายได้น้อยไม่เพียงพอต่อการดำรงชีพ มีโอกาสได้รับการช่วยเหลือเพิ่มเติม ดังนั้นจึงไม่ใช่การลักไก่ออกระเบียบฯ ในช่วงรัฐบาลรักษาการแต่อย่างใด”
ประเด็นที่ 2 ผู้มีสิทธิรายใหม่ที่จะมีอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์
...
ต้องมีคุณสมบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ที่กำหนดว่า “ต้องเป็นผู้ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนด” โดยในขณะนี้ คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ซึ่งมีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นฝ่ายเลขานุการ ยังไม่ได้มีการกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ “ดังนั้นในระหว่างที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ยังไม่ได้มีการกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ ผู้สูงอายุที่ได้รับเบี้ยยังชีพก็ยังได้รับเหมือนเดิมทุกประการ ไม่ต้องกังวล”
ประเด็นที่ 3 การกำหนดหลักเกณฑ์ผู้มีสิทธิได้รับเบี้ยยังชีพ
“ในส่วนนี้ คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ และคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะพิจารณา โดยอยู่บนหลักของความทั่วถึงและเป็นธรรม”.