“ภูมิธรรม” ป้อง “เศรษฐา” แค่ตอบคำถามสื่อ หนุนหลักการ รมต.รบ.เก่าไม่ควรนั่งกระทรวงเดิม ปัดตั้งเงื่อนไขมัดคอพรรคร่วมฯ เมิน ก.ก.ชวนกลับมัดข้าวต้ม 312 เสียง ไม่โหวตให้ไม่ว่ากัน “ประเสริฐ” ย้ำส่ง “เศรษฐา” คั่วนายกฯ “กิตติศักดิ์” ชี้โหวตนายกฯรอบ 3 เดือดแน่ ฟันธง “เสี่ยนิด” ไม่ผ่านด่าน “วันชัย” ไปอีกทางเชื่อเสียงส่วนใหญ่โหวตให้เสียงข้างมาก “ชัยธวัช” ห่วง พท.เจอลูกเขี้ยวขั้วเก่าเค้นคอ ทัวร์ลง มท.หลายฝ่ายรุมสหบาทาแก้เกณฑ์เบี้ยคนชรา “อนุสรณ์” ซัด “ลุงตู่” วางยารัฐบาลใหม่ “วิโรจน์” เฉ่งลักไก่รื้อเกณฑ์ กีดกัน ปชช.เข้าถึงสวัสดิการรัฐ “อนุพงษ์” โบ้ยต้นทางคือ พม. มท.แค่เปิดทางให้ อปท.จ่ายเงินได้ “พิธา” พอได้ยิ้มชุดไต่สวนชงยกคำร้องถือหุ้นสื่อ ชี้ไม่พบไอทีวีมีรายได้ แนวร่วม มธ.ส่องไฟหวัง พท.เลิกสังฆกรรม 2 ลุง

จากกรณีที่นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย (พท.) ออกมาระบุเงื่อนไขการร่วมรัฐบาล ห้ามไม่ให้รัฐมนตรีรัฐบาลเก่า นั่งกระทรวงเดิม จนมีพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาลตั้งเงื่อนไขกลับไปยังพรรค พท.ต้องเคลียร์เงื่อนไขดังกล่าว ไม่เช่นนั้นขอให้เปลี่ยนแคนดิเดตนายกฯ ล่าสุดแกนนำพรรค พท.ปฏิเสธว่านายเศรษฐาเพียงแค่ตอบคำถามสื่อในเชิงหลักการเท่านั้น

...

“ภูมิธรรม” โบ้ย “เศรษฐา” แค่ตอบสื่อ

เมื่อวันที่ 14 ส.ค. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์กรณีกระแสข่าวพรรคที่จะมาร่วมกับพรรค พท. ยื่นเงื่อนไขร่วมรัฐบาลต้องไม่มีเงื่อนไขห้ามรัฐมนตรีรัฐบาลเก่านั่งกระทรวงเดิม หากมีขอให้เปลี่ยนตัวแคนดิเดตนายกฯว่า ยังไม่ได้ยินพรรคใดประสานมาอย่างเป็นทางการ แต่เท่าที่ได้คุยกับหัวหน้าพรรคที่จะมาร่วมงาน ไม่มีปัญหาที่รุนแรงในเรื่องนี้ ประเด็นว่านายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯพรรค พท. ไปพูดไม่ให้พรรคที่จะมาร่วมกับพรรค พท.ทำงานกระทรวงเดิม นายเศรษฐาไม่ได้พูดเป็นหลัก เป็นคำถามจากสื่อว่าหลักการไม่ควรให้นั่งกระทรวงเดิมหรือไม่ นายเศรษฐา พูดเพียงว่าหลักการดูดีเห็นชอบ แต่ต้องดูว่าการเชิญพรรคต่างๆมาร่วมต้องให้เกียรติและดูความเหมาะสม ไม่อยากให้ยึดติดอยากให้ดูนโยบาย คุณสมบัติของคนที่จะมาทำงานเป็นที่ยอมรับของสังคมหรือไม่ เราไม่มีปัญหาอะไร ต้องหารือกัน

แบ่งกระทรวงจบใกล้โหวตนายกฯ

เมื่อถามว่า พรรคต่างๆอยากให้คุยก่อนโหวตนายกฯ นายภูมิธรรมกล่าวว่า เรารวมเสียงมาถึงขั้นนี้แล้วไม่มีปัญหา ถึงเวลาที่เหมาะสมจะทำให้มันชัด ต้องชัดเจนก่อนว่ามีคนพร้อมร่วมรัฐบาลเท่าไหร่แล้วจะจัดการอย่างไร ตอนนี้เรามี 238 เสียง พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) บอกจะโหวตให้โดยไม่มีเงื่อนไขรวมเป็น 278 เสียง เราต้องทำให้ได้ 375 เสียง และเท่าที่ฟังพรรคอื่นๆ ทั้งพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) หรือรวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) พูดทางบวกให้ใช้นโยบายเป็นแกนกลางกำหนดนโยบายทำงาน ดูใครเหมาะสม ใครเป็นหลักเป็นรอง ถ้าคุยด้วยผลประโยชน์ประเทศชาติคุยได้หมด ตั้งใจว่าเมื่อเลือกนายกฯแล้ว รัฐบาลจะเดินหน้าทำงานได้ในเดือน ก.ย. คิดว่าประเด็นกระทรวงต่างๆจะเสร็จสิ้นใกล้เคียงกับการโหวตนายกฯ ขอดูเวลาที่เหมาะสม

มั่นใจ “เสี่ยนิด” ไม่ติดปมจริยธรรม

เมื่อถาม สว.อยากให้เศรษฐาไปแสดงวิสัยทัศน์ นายภูมิธรรมตอบว่า ต้องถามไปยังนายเศรษฐา แต่นายเศรษฐาไม่ใช่ สส. การเข้าไปพูดในสภาฯอาจลำบาก ที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯพรรคก้าวไกล พูดในรัฐสภาเป็นการตอบคำถามแล้วแสดงวิสัยทัศน์ และที่ผ่านมาไม่เคยมีการแสดงวิสัยทัศน์ การตรวจสอบผู้ที่จะมาเป็นนายกฯเป็นเรื่องจำเป็น ทุกคนตรวจสอบได้ นายเศรษฐาพูดชัดเจนแล้วประเด็นที่นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ตั้งคำถาม โดยให้บริษัทที่ถูกตั้งคำถามชี้แจง และนายเศรษฐารักษาสิทธิโดยการฟ้องร้องนายชูวิทย์ ว่าไปตามกฎหมาย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเลี่ยงภาษี แต่เป็นการบริหารจัดการภาษีตามกฎหมาย เป็นหลักการที่มีการสอนกันในมหาวิทยาลัย เมื่อทุกอย่างทำตามกฎหมาย ไม่ผิดจริยธรรม มั่นใจนายเศรษฐาไม่มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติแน่นอน

พลิ้วไม่เคยบอก ก.ก.ดึง 2 ลุงร่วม รบ.

นายภูมิธรรมยังกล่าวถึงกรณีแกนนำพรรคพท.ไปพูดคุยกับพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ที่ออกมาระบุพรรค พท.ไม่ได้บอกรายละเอียดการเดินหน้าตั้งรัฐบาลว่า ขอยืนยันข้อเท็จจริง การไปพบกับพรรค ก.ก.วันนั้น ไปในฐานะทีมเจรจา ส่วนที่มี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯพรรค พท.ไปด้วย พรรคก.ก.เป็นคนร้องขอมา เพื่อจะได้สบายใจกันทุกฝ่ายน.ส.แพทองธารก็เดินทางไป เราไปอย่างเปิดเผยไม่ปิดบังอะไร ส่วนที่มีรายงานข่าวว่าเราไปแจ้งว่าจะเอาสองลุงมาร่วมรัฐบาล ไม่ตรงข้อเท็จจริง อาจคลาดเคลื่อน เราบอกทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดให้เขาสนับสนุนเราเป็นรัฐบาลได้ เพื่อให้เราทำงานได้ แต่ทางพรรค ก.ก.อยากให้เรากลับไปเป็น 312 เสียงเหมือนเดิม เราบอกไปว่าถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นใหม่จะยังตั้งรัฐบาลไม่ได้ เราอยากให้ตั้งรัฐบาลให้ได้เพื่อเปิดประตูแก้วิกฤติ แต่เขาอยากให้เราเป็นเหมือนเดิม 312 ซึ่งเป็นไปไม่ได้ เมื่อเป็นไปไม่ได้เราต้องเลือกทางเดินอื่นที่มีไม่กี่ทาง อาจขัดใจประชาชนบ้าง แต่พรรคที่จะมาร่วมกับเราก็มาจากประชาชน

แบ่งกระทรวงบนโต๊ะให้ทุกฝ่ายรับได้

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคพท.ให้สัมภาษณ์กรณีกระแสข่าวพรรคที่จะมาร่วมกับพรรค พท. ต้องการความชัดเจนเกี่ยวกับกระทรวงก่อนโหวตนายกฯว่า เข้าใจพรรคที่จะมาร่วมงานกับเราที่ต้องการความชัดเจนในการร่วมรัฐบาล แต่อยากเรียนว่าการตั้งรัฐบาลครั้งนี้เป็นการตั้งรัฐบาลที่พิเศษ บนสถานการณ์พิเศษที่ประเทศต้องการออกจากวิกฤติอย่างเร่งด่วน เราจึงต้องการความร่วมมือร่วมใจจากทุกภาคส่วนในการนำพาประเทศออกจากวิกฤติ เราอยากให้การโหวตนายกฯเป็นไปอย่างเรียบร้อยก่อน เมื่อมีความชัดเจนแล้วจะนำประเด็นของแต่ละพรรคร่วมมาพูดคุยบนโต๊ะเพื่อให้การจัดตั้งรัฐบาลเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย เพื่อนำพาประเทศออกจากวิกฤติครั้งนี้ให้ได้ สำหรับกรณีที่พรรคเก่าจำเป็นต้องคุมกระทรวงเดิมหรือไม่นั้น เป็นเพียงแค่แนวคิด ส่วนการปฏิบัติตนขอยังไม่แสดงความคิดเห็น

ย้ำดันชื่อ “เศรษฐา” เป็นนายกฯ

เมื่อถามถึงกระแสข่าวที่มีบางฝ่ายมองว่าควรดัน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร แคนดิเดตนายกฯ แทนนายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ นายประเสริฐกล่าวว่า จริงๆเราได้พูดคุยกันแล้วว่าจะเป็นนายเศรษฐา และพรรคพูดหลายครั้งแล้วว่าเป็นชื่อนายเศรษฐา คิดว่าไม่มีการเปลี่ยนอะไรแล้ว เมื่อถามว่ามี สว.อยากให้นายเศรษฐาเข้าไปชี้แจงเรื่องต่างๆ ในสภาฯด้วยตัวเอง มีโอกาสที่จะให้นายเศรษฐาเข้าไปชี้แจงเองหรือไม่ นายประเสริฐกล่าวว่า การชี้แจงหากดูตามข้อบังคับ การประชุมรัฐสภาหรือเรื่องการโหวตแคนดิเดตนายกฯที่เป็นคนนอก ข้อบังคับไม่ได้กำหนดให้ผู้ถูกเสนอชื่อต้องเข้าไปในห้องประชุม ประธานรัฐสภายังไม่ได้ว่าอะไรเลย เราจะฟังประธานรัฐสภาเป็นหลัก แต่หากยึดข้อบังคับเป็นหลักปกติแคนดิเดตนายกฯ ที่ไม่ได้เป็น สส. ไม่จำเป็นต้องเข้าไปในสภาฯ

“วันนอร์” รอเคาะวันโหวตนายกฯ

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา กล่าวถึงการกำหนดวันประชุมรัฐสภา เพื่อโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีว่า จะต้องขอดูคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญที่จะพิจารณาคำร้องกรณีมติที่ประชุมรัฐสภาสามารถเสนอชื่อโหวตนายกรัฐมนตรีซ้ำได้หรือไม่ ในวันที่ 16 ส.ค.ก่อน จากนั้นจะพิจารณาวันนัดประชุมรัฐสภาเลือกนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่ามีความเป็นไปได้ที่จะนัดประชุมทั้งในวันที่ 18 ส.ค.หรือวันที่ 22 ส.ค. ต้องดูหน้างานจากคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญเป็นหลักจะออกมาอย่างไร และมี 2 องค์กรที่ต้องช่วยกันพิจารณาคือ หากมีคำวินิจฉัยอย่างไร ต้องประชุมฝ่ายกฎหมายสภา และประชุมวิป 3 ฝ่าย ยืนยันเป้าหมายสภาต้องการให้มีรัฐบาลโดยเร็ว แต่ต้องเรียบร้อยไม่ผิดกติกาด้วย ส่วนการเลือกนายกรัฐมนตรีรอบ 3 จะผ่านเรียบร้อยหรือไม่ อยากให้เรียบร้อย แต่อยู่ที่ฝ่ายการเมืองที่จะประสานงานกัน สภามีหน้าที่เตรียมการจัดประชุมให้เรียบร้อย และทุกฝ่ายต้องพร้อมทั้ง สส.และ สว.

“กิตติศักดิ์” ขู่ขยี้เดือด “เศรษฐา” ไม่รอด

นายกิตติศักดิ์ รัตนวราหะ สว.กล่าวว่า ขอยืนยันว่า บุคคลที่จะเป็นนายกฯ ไม่ใช่นายเศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทย ส่วน น.ส. แพทองธาร ชินวัตร คงไม่เอาเพราะครอบครัวไม่ให้มา นายชัยเกษม นิติศิริ ก็มาไม่ได้ เพราะสุขภาพไม่แข็งแรง จึงเหลือแค่สองลุงคือ “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐกับ “ลุงหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทยคงต้องส่งไม้ต่อ หากนายเศรษฐาไม่ถอย หากชื่อได้เข้าไปในสภาฯ ไม่น่าจะผ่าน ขณะนี้การจะได้นายกฯ และรัฐบาล ควรจะแก้ปัญหาปากท้องประชาชนก่อน แต่พรรคเพื่อไทยกลับต้องการแก้รัฐธรรมนูญเป็นเรื่องเร่งด่วน แก้เพื่อต้องการให้ใครกลับบ้าน เรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน อาจสร้างความขัดแย้ง น่าจะเป็นเงื่อนไขที่พรรคเพื่อไทยจะส่งแคนดิเดต นายกฯไม่ได้ ประเมินว่าวันโหวตเลือกนายกฯครั้งต่อไปจะดุเดือด มีการอภิปรายกันสนั่นลั่นทุ่ง หากเสนอชื่อนายเศรษฐา เชื่อว่าจะเจ็บตัวพอสมควร จะอภิปรายกันหนักมาก เท่าที่ฟังข้อมูลหลายด้านค่อนข้างหนักพอสมควร สว.หลายคนก็มีความเห็นคล้ายกับตนคือ ไม่เอานายเศรษฐาและพรรคเพื่อไทย

“วันชัย” ย้ำโหวตให้เสียงข้างมาก

นายวันชัย สอนศิริ สว. ให้สัมภาษณ์ถึงท่าที สว.ในการโหวตเลือกนายกฯที่เป็นแคนดิเดตจากพรรค พท.ว่า ถ้าพรรค พท.เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ไม่ว่าจะเสนอใครมาทั้งนายเศรษฐา ทวีสิน นายชัยเกษม นิติศิริ หรือ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร สว.จะสนับสนุน ไม่ขัดข้อง ขอยืนยันแบบนั้น สว.ไม่มีเงื่อนไขใดๆในตัวบุคคลที่พรรค พท.เสนอมา ไม่ได้ยึดติดตัวบุคคล แต่ยึดติดว่าใครรวมเสียงข้างมากแล้วเสนอบุคคลใดจะสนับสนุนบุคคลนั้น ถ้าเอาเรื่องคุณสมบัติ มีข้อกล่าวหาได้ทั้งนั้น ถ้าเอานายชัยเกษมบอกอายุเยอะเกินไป หรือ น.ส.แพทองธารบอกเด็กไป และใกล้นายทักษิณ ชินวัตร หรือถ้าเอานายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ก็บอกว่านโยบายกัญชามอมเมาประชาชน กล่าวหากันได้ทั้งนั้น สว.จึงเห็นว่าตราบใดยังไม่มีคำพิพากษาหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบวินิจฉัยถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์อยู่ ข้อกล่าวหาต่างๆให้เป็นที่ว่ากันไป แต่ สว.ไม่มีข้อขัดข้องต่อคนที่พรรคที่รวมเสียงส่วนใหญ่ได้ แต่อาจมีบางคน บางกลุ่มวิจารณ์ถือเป็นเรื่องปกติ จะให้เหมือนกัน 100% เป็นไปไม่ได้

“ชัยธวัช” ห่วง พท.ขั้วเก่าเขี้ยวรุมบีบ

เมื่อเวลา 11.10 น. ที่พรรคก้าวไกล (ก.ก.) นายชัยธวัช ตุลาธน ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะเลขาธิการพรรค ก.ก. กล่าวถึงความคืบหน้าการถามความเห็นประชาชนในการโหวตเลือกนายกฯว่า ส.ส.ทำกันเอง ไม่ได้เป็นการมอบหมายจากพรรค จะนำเรื่องนี้กลับมาพูดคุยกันอีกครั้งในการประชุม สส.วันที่ 15 ส.ค. ตอนนี้ยังไม่ได้คุยกันถึงทิศทางของพรรค คาดว่าจะได้ข้อสรุปในที่ประชุม สส.วันที่ 15 ส.ค. เมื่อถามว่ากรณีพรรค พท.เริ่มถูกกระแสกดดันจากพรรคร่วมจัดตั้งรัฐบาล ให้จัดสรรเก้าอี้รัฐมนตรีก่อนโหวตนายกฯ และปัญหาตัวแคนดิเดตนายกฯ เป็นสถานการณ์ที่น่าลำบากของพรรค พท.หรือไม่ นายชัยธวัชกล่าวว่า การจัดแบ่งตำแหน่ง ครม. เป็นเรื่องปกติ ในการจัดตั้งรัฐบาล ในทางปฏิบัติปฏิเสธไม่ได้ที่ต้องทำควบคู่กันไป เรามองด้วยความเป็นห่วงว่าการจัดตั้งรัฐบาลในสถานการณ์แบบนี้น่าจะถูกเข้ามากำกับควบคุมโดยขั้วอำนาจเดิมมาก น่าจะปฏิเสธยาก ส่วนกรณีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภา คนที่ 1 ทวีตยันไม่ลาออกจากตำแหน่งง่ายๆ ยังไม่ได้คุยกัน คงต้องคุยกันอีกครั้งหลังจัดตั้งรัฐบาลเป็นทางการ

ไม่เห็นด้วยปรับเกณฑ์รับเบี้ยสูงอายุ

นายชัยธวัชกล่าวถึงกรณีราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2566 สาระสำคัญคือ ปรับเปลี่ยนคุณสมบัติของผู้มีสิทธิจะได้รับเงินเบี้ยยังชีพ (คนชรา) จากไม่เป็นผู้ได้รับสวัสดิการหรือสิทธิประโยชน์อื่นใดจากหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มาเป็นผู้ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพตามที่คณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ (กผส.) ตามกฎหมายว่าด้วยผู้สูงอายุกำหนดว่า พรรค ก.ก.ไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว เพราะสวัสดิการควรจะเป็นสิทธิของทุกคน ไม่ใช่การสังคมสงเคราะห์ที่จะต้องมาพิสูจน์ความจน เรื่องใหญ่กระทบคนจำนวนมาก ไม่ควรทำในช่วงที่ยังไม่มีรัฐบาลใหม่ เมื่อรัฐบาลใหม่ไม่ว่าใครจะเป็นนายกฯ คงจะต้องเร่งทบทวนเรื่องนี้

ฉะลักไก่เปลี่ยนหลักเกณฑ์จ่าย

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก.โพสต์เฟซบุ๊กถึงกรณีการเปลี่ยนหลักเกณฑ์จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจากเดิมจ่ายแบบถ้วนหน้า ตั้งแต่ 12 ส.ค.เป็นต้นไป ต้องพิสูจน์ความจนก่อนว่า กระทบสิทธิประชาชนอย่างร้ายแรงมาก เพราะรัฐบาลรักษาการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลักไก่กำหนดหลักเกณฑ์การจ่ายเงินเบี้ยผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2566 เสียใหม่ ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้สูงอายุ (60+ปี) อยู่ที่ 11 ล้านคน ทราบข่าวมาว่าจะมีการใช้ฐานข้อมูลบัตรคนจน หรือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ พิจารณาจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ จะทำให้มีผู้สูงอายุได้รับเบี้ยยังชีพเพียงแค่ 5 ล้านคนเท่านั้น ผู้สูงอายุอีก 6 ล้านคนจะถูกรัฐลอยแพ ที่สำคัญเรารู้อยู่แล้วว่าฐานข้อมูลของบัตรคนจนมั่วอยู่พอสมควร มีคนจนถึง 46% ที่ไม่ได้รับบัตร ขณะที่ 78% ของคนที่ถือบัตรเป็นคนไม่ยากจนแต่อยากจน ข้อมูลตกหล่นมากมายแบบนี้ จะเอามาใช้เป็นเกณฑ์จ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุได้อย่างไร

“อนุสรณ์” โวย “ลุงตู่” วางยา รบ.ใหม่

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อพรรค พท. กล่าวว่า เศรษฐกิจแย่ บ้านเมืองเผชิญกับวิกฤติมา 8-9 ปี ประชาชนเดือดร้อนกันทั่วหน้า รัฐบาลรักษาการจำเป็นอะไรต้องไปเพิ่มเงื่อนไขคุณสมบัติผู้มีสิทธิรับเงินเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ทำลายหลักการรัฐสวัสดิการแบบถ้วนหน้า ตอกย้ำระบบรัฐสงเคราะห์ที่เลือกปฏิบัติ เลือกให้เฉพาะคนจนหรือคนอนาถา ขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญและหลักสากล สร้างเงื่อนไขและเลือกปฏิบัติ กระทบสิทธิประชาชนอย่างรุนแรง พล.อ.ประยุทธ์ไม่รักษาอาการ เหมือนวางยาทิ้งทวน ผิดธรรมเนียมปฏิบัติที่ควรปล่อยให้เป็นหน้าที่รัฐบาลใหม่จะเข้ามาดำเนินการ จะถูกต้องเหมาะสมกว่า พล.อ.ประยุทธ์ ปากประกาศวางมือ แต่ใจเหมือนคิดวางยาหรือไม่ อย่าผูกขาดทวงบุญคุณกับประชาชนว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์เท่านั้นที่จะดูแลผู้สูงอายุได้ นี่คือหลักฐานหนึ่งที่สนับสนุนว่าทำไม 10 เดือนถึงไม่รอ เพราะหากเวลาที่รัฐบาลใหม่จะเข้ามาช้าไปเท่าไหร่ เท่ากับเติมโปรโมชันพิเศษให้รัฐบาลรักษาการอยู่นานขึ้นไปเรื่อยๆ

รบ.แจงเพื่อความยั่งยืนการคลัง

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่กระทรวงมหาดไทยได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การจ่ายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ มีสาระหลักเพิ่มเติมคือ เป็นผู้ไม่มีรายได้หรือมีรายได้ไม่เพียงพอแก่การยังชีพ โดยผู้สูงอายุที่ได้รับเงินเบี้ยยังชีพอยู่ก่อนวันที่ระเบียบใช้บังคับจะยังมีสิทธิได้รับต่อไปที่ดราม่าว่าลดทอนคุณค่าความเป็นมนุษย์ของพลเมืองไทยหรือไม่ ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญกับประชาชนทุกกลุ่ม มุ่งแก้ปัญหาประชาชนอย่างมุ่งเป้า ใช้งบฯให้เกิดประโยชน์สูงสุด ภายใต้ข้อจำกัดงบฯ วันนี้เราเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ มีจำนวนผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นรวดเร็วและต่อเนื่อง งบฯที่เคยตั้งไว้ 5 หมื่นล้านต่อปี เพิ่มเป็น 8 หมื่นล้านบาท และแตะ 9 หมื่นล้านบาท แล้วในงบฯปี 67 หากลดการจ่ายเบี้ยฯแก่ผู้สูงอายุเฉพาะกลุ่มที่มีรายได้สูงหรือผู้สูงอายุที่ร่ำรวย เพราะงบฯที่จ่ายให้ไปอาจไม่จำเป็นถือเป็นการใช้นโยบายการคลังที่พุ่งเป้าช่วยเหลือไปยังกลุ่มคนที่จำเป็นและเดือดร้อนกว่า อีกทั้งคือการสร้างความยั่งยืนทางการคลังระยะยาว ขอฝ่ายการเมืองอย่ามองเป็นการลักไก่เลย

มท.1 ให้รอ คกก.ผู้สูงอายุฯเคาะ

เมื่อเวลา 16.39 น. ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย กล่าวว่า จริงๆแล้วเป็นเรื่องของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีคณะกรรมการ กผส. เป็นผู้พิจารณาตามหลักเกณฑ์ แต่งบฯส่วนนี้นำมาให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย เป็นผู้จ่าย กระทรวงต้องออกระเบียบถึงตอนนี้จะจ่ายอย่างไรต้องรอเกณฑ์จากคณะกรรมการ กผส.บางคนไปเข้าใจผิดว่าตัดหรือไม่ตัดเบี้ยนั่นไม่ใช่แต่เราบอกไปเพื่อจะให้ อปท.จ่ายได้ เมื่อถามว่าในสื่อโซเชียลมีดราม่าพูดถึงการพิสูจน์ความจน พล.อ.อนุพงษ์ตอบว่า มีวิธีคิดได้หลายแบบ ก่อนย้อนถามว่า “ถ้าคนอย่างผมได้ด้วยเนี่ย ยุติธรรมหรือไม่ มีบำนาญ 60,000 กว่าบาท ควรได้ไหม” อย่ามองด้านเดียวว่าไปตัดสิทธิ ตัดไม่ตัดอย่างไรอยู่ที่คณะกรรมการ กผส. ส่วนกรณีนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ก.ก. ระบุว่า รัฐบาลรักษาการลักไก่ทำ พล.อ.อนุพงษ์ตอบว่า เข้าใจผิด ตอนนี้ยังไม่ทำอะไรเลย ถ้าไปถึงวันนั้นแล้วยังไม่มีระเบียบออกมาต้องหารือกัน ถ้าจ่ายไปแล้วไปเรียกคืนจะวุ่นอีก

ชงยกคำร้อง “พิธา” ไม่พบไอทีวีมีรายได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กรณี นายอิทธิพร บุญประคอง ประธานกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ระบุเมื่อเร็วๆนี้ว่า สำนวนการสอบสวนนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อและหัวหน้าพรรค ก.ก.กรณีรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งตามพ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.มาตรา 151 เนื่องจากมีลักษณะต้องห้ามในการลงสมัครรับเลือกตั้ง สส.ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 98 (6) เพราะเหตุมีชื่อถือครองหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) 42,000 หุ้น ถูกส่งมายังชั้นสำนักงาน กกต. มีรายงานว่า ผลสอบที่คณะกรรมการไต่สวนดำเนินการสืบสวนไต่สวนเสร็จสิ้น ได้เสนอความเห็นว่า เห็นควรให้ยกคำร้อง ด้วยเหตุผลว่าการดำเนินการตามมาตรา 151 เป็นคดีอาญาที่ต้องมีพยานหลักฐานชัดเจน แต่ขณะเปิดสมัครรับเลือกตั้ง สส.66 วันที่ 4-7 เม.ย.ไม่พบว่าบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) มีการประกอบกิจการอยู่และมีรายได้จากการทำสื่อ

คาดอนุฯวินิจฉัยสอบเพิ่มให้ “ทิม” แจง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คณะกรรมการไต่สวนได้สรุปสำนวนและเสนอรายงานไปยังเลขาธิการกกต. ที่ได้มอบรองเลขาธิการ กกต.ให้จ่ายสำนวนดังกล่าวให้คณะอนุกรรมการวินิจฉัยคำร้องและปัญหาหรือข้อโต้แย้งพิจารณา ตามที่ระเบียบ กกต.ว่าด้วยการสืบสวน การไต่สวนและการวินิจฉัยชี้ขาด 2563 กำหนด ก่อนจะเสนอให้ กกต.วินิจฉัยอย่างไร ก็ตาม การพิจารณาเรื่องร้องเรียน ร้องคัดค้านของคณะอนุฯวินิจฉัยหลายกรณีเมื่อสอบสวนแล้วไม่เห็นด้วยกับความเห็นของคณะกรรมการไต่สวน หากเห็นว่ามีประเด็นที่ยังไม่ชัดเจน มีข้อสงสัยจะสอบสวนเพิ่มเติม รวมทั้งเรียกผู้ถูกกล่าวหามาชี้แจง คาดว่าคณะอนุฯวินิจฉัยจะสอบสวนเพิ่มเติมและแจ้งให้นายพิธามาชี้แจงแก้ข้อกล่าวหา

อีกทางรอศาล รธน.ชี้ขาดคุณสมบัติ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า รวมไปถึงเป็นไปได้ที่จะรอคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณี กกต.ยื่นตามรัฐธรรมนูญมาตรา 82 ขอให้วินิจฉัยสถานะสส.ของนายพิธาจากเหตุเดียวกัน ก่อนจะสรุปสำนวนพร้อมความเห็นเสนอ กกต.พิจารณา เช่นที่เคยปฏิบัติกรณีนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ เมื่อครั้งถือหุ้นบริษัทวีลัค มีเดีย จำกัด หากที่สุด กกต.มีมติเห็นว่าผู้สมัครรายนั้นรู้อยู่แล้วว่าไม่มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งแต่ยังคงลงสมัครจะให้เจ้าหน้าที่สำนักงาน ไปแจ้งความดำเนินคดีอาญาต่อพนักงานสอบสวน เพื่อจะส่งเรื่องให้อัยการยื่นฟ้องต่อศาลอาญา ที่ผ่านมากรณีของนายธนาธร แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยว่า มีลักษณะต้องห้ามลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นเหตุให้สมาชิกภาพ สส.สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101 แต่เมื่อ กกต.ดำเนินคดีอาญา อัยการกลับมีคำสั่งไม่ฟ้องโดยมาตรา 151 กำหนดไว้ว่า ผู้ใดรู้อยู่แล้วว่าตนไม่มีสิทธิ สมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสส. ได้สมัครรับเลือกตั้งหรือทำหนังสือยินยอม ให้พรรคการเมืองเสนอรายชื่อ เพื่อสมัครรับเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และปรับตั้งแต่ 20,000-200,000 บาท
และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้นั้นมี กำหนด 20 ปี

ปชป.ฟัด “อ๋อง” โพสต์อวดเบียร์

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) และอดีตเลขานุการประธานรัฐสภา กล่าวถึงกรณีนายปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.พรรค ก.ก.และรองประธานสภาฯคนที่ 1 โพสต์โชว์ภาพคราฟต์ เบียร์ พร้อมข้อความ “เอาแล้วๆๆๆๆพิษณุโลก มีคราฟต์เบียร์ตัวแรกอย่างเป็นทางการแล้วครับ เป็นของดีพิดโลก นอกจากกล้วยตากและหมี่ซั่วครับ” เผยแพร่ในสื่อโซเชียลว่า เรื่องนี้มี พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควบคุมการโฆษณาไว้ในมาตรา 32 นายปดิพัทธ์เป็นถึงรองประธานสภาฯเป็นบุคคลสาธารณะ ไม่ควรทำสิ่งนี้ควรคำนึงถึงสังคมและกฎเกณฑ์ กติกาบ้าง ขณะที่นายแทนคุณ จิตต์อิสระ รักษาการประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างเพศ พรรค ปชป.กล่าวว่า การโฆษณาชวนเชื่อโดยตรงหรือโดยอ้อมผิดกฎหมายชัดเจน รวมทั้งมาตรฐานทางจริยธรรมที่กำกับดูแลนักการเมืองไม่ให้ประพฤติชั่ว เพราะดื่มแอลกอฮอล์ทำให้ขาดสติ ขอให้ประธานสภาฯได้พิจารณาดำเนินคดี และประมวลจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้เด็ดขาด

จี้ “ไผ่” ชี้ตัวแก๊งสีเทาร่วมวงตื้บ

อีกเรื่อง นายกรุณพล เทียนสุวรรณ รองโฆษกพรรค ก.ก.ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่นายไผ่ ลิกค์ สส. กำเเพงเพชร พรรค พปชร.เรียกร้องให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร.ตรวจสอบกรณีมีภาพคนในขบวนการเว็บพนันออนไลน์มาเก๊า 888 อยู่ในร้านอาหารย่านเอกมัยในวันเกิดเหตุ นายจรยุทธ จตุรพรประสิทธิ์ สส.กทม.พรรค ก.ก. ทะเลาะวิวาทกับแขกในร้านว่า เรายังไม่รู้เลยว่าเป็นคนไหน นายไผ่นำรูปหมู่มาลงไม่ได้บอกว่าคนไหน พอมีคนตั้งคำถามมากๆเข้า ลบโพสต์นั้นทิ้งไปเลย อยากถามหรือรบกวนสื่อช่วยสอบถามว่า ที่นายไผ่หมายถึงบุคคลไหน ให้วงภาพมาเลย ที่สำคัญในเพจเฟซบุ๊กเหยื่อเขาชี้แจงและมีหลักฐานชัดเจนว่า รูปที่นายไผ่เอามาลงคนในรูปไม่มีใครเกี่ยวข้องกับการพนันออนไลน์เลยสักคน ในวันเกิดเหตุโต๊ะอาหารมีเพียงนายจรยุทธ์และทีมงาน ส่วนเรื่องทะเลาะวิวาทกันพรรคได้เรียกผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เข้าสอบ ตั้งกรรมการสอบวินัยในรายละเอียด

เผยคู่กรณี “สิริน” ถอนฟ้องแล้ว

เมื่อถามถึงความคืบหน้าการตรวจสอบของพรรค ก.ก.กรณีนายสิริน ถนอมสิน สส.กทม.พรรคก.ก.ในคดีทำร้ายร่างกายก่อนหน้านี้ นายกรุณพลตอบว่า ไม่แน่ใจว่าคณะกรรมการวินัยตรวจสอบเสร็จหรือยัง ยังไม่ได้สอบถาม แต่ทราบว่าคู่กรณีถอนฟ้องไปแล้วและไม่ติดใจเอาความ น่าจะเป็นเรื่องปัญหาส่วนตัว เท่าที่ทราบไม่ได้เป็นไปตามที่มีข่าวออกไปในตอนแรกว่า ทำร้ายร่างกายชกต่อยใส่หน้า น่าจะเป็นการยื้อแย่งโทรศัพท์กันจากการบันทึกภาพ

“ตะวัน” เจอมือดีบุกทุ่มหินใส่รถ

ช่วงเช้า น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ หรือตะวัน หนึ่งในเครือข่ายแนวร่วมกลุ่มทะลุวัง ได้โพสต์คลิปบนเฟซบุ๊กส่วนตัว Tawan Tantawan เป็นภาพกลางคืนบันทึกจากกล้องที่คาดว่าเป็นวงจรปิดติดอยู่ริมรั้วบ้าน มีชายสวมเสื้อแขนยาว หมวกกันน็อกและถุงมือ ขับรถจักรยานยนต์วิ่งมาจอด ปีนรั้วบ้านแล้วทุ่มหินก้อนใหญ่ข้ามรั้วลงมาใส่กระจกรถกระบะยี่ห้อนิสสัน สีบรอนซ์เงิน ที่เป็นรถใช้เคลื่อนไหวของกลุ่มที่จอดอยู่ริมรั้ว จากคลิปเหตุการณ์ดังกล่าวน.ส.ทานตะวัน ได้เขียนข้อความลงบนโพสต์ว่า “ยุคนี้เขาขู่กันแบบนี้เหรอคะ?”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ล่าสุด น.ส.ทานตะวัน ร่วมกับพวกบุกไปสาดสีใส่ป้ายกระทรวงวัฒนธรรม ต่อมาบุกไปป่วนที่ที่ทำการพรรค พท.ทั้งนี้ ความเคลื่อนไหว 2 ครั้งหลังนี้ สร้างความไม่พอใจแก่ 3 กลุ่ม 1.กลุ่มศูนย์รวมประชาชนปกป้องสถาบัน (ศปปส.) ที่เข้ายื่นคำร้องให้ศาลสั่งถอนประกันสมาชิกกลุ่มทะลุวัง 2.กลุ่มอาชีวะราชภักดี ออกแถลงการณ์จะออกมาตอบโต้ถ้าไม่ยุติการกระทำที่เกี่ยวข้องต่อสถาบันฯและ 3.แฟนคลับพรรค พท.พากันด่าทอประนามผ่านสื่อโซเซียลอย่างรุนแรง

มวลชนสะบั้น พท.เผาหุ่น “ทักษิณ–ปู”

เมื่อเวลา 15.30 น. ที่บริเวณซอยศาลเจ้าอาม้า ตลาดกระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร กลุ่มมวลชนคนรักประชาธิปไตย (สมุทรสาคร) ประมาณ 50 คน รวมตัวกันเผาหุ่นทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ และสัญลักษณ์พรรค พท. อ่านแถลงการณ์ กลางสายฝนที่ตกมาอย่างหนักว่า พรรค พท.หาเสียงว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตยเสรีก้าวหน้า สัญญายึดมั่นอยู่กับฟากฝั่งประชาธิปไตย ไม่สนับสนุนฝ่ายเผด็จการขั้วอำนาจเดิม ออกแคมแปญว่าไล่หนูตีงูเห่า ไม่เอาพรรค 2 ลุง มาร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล พรรค พท.ได้ตระบัดสัตย์ยอมกลืนเลือด อ้างรอไม่ได้ที่จะไม่มีรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ แท้ที่จริงแล้วต้องการให้คนแดนไกลกลับประเทศ ทรยศหักหลังต่อเพื่อนร่วมอุดมการณ์ฝ่ายประชาธิปไตยอย่างน่ารังเกียจ โฆษณาชวนเชื่อ หลอกลวงขอคะแนนเสียงอย่างน่าละอาย ดังนั้น ถือว่าอุดมการณ์ที่พวกเรามีให้กับพรรค พท.สิ้นสุดลงแล้ว ณ บัดนี้

แนวร่วมฯ มธ.ส่องไฟให้ พท.กลับใจ

เวลา 16.00 น. ที่หน้าหอศิลปและวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร สี่แยกปทุมวัน กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม นำโดย น.ส.กัลยกร สุนทรพฤกษ์ หรือ จิ๊บ นัดหมายมวลชนจัดกิจกรรมชุมนุม “ส่องไฟให้ทางประชาธิปไตย” เขียนข้อความในใจลงบนผ้าดิบสีแดงเดินชู 3 นิ้ว เคลื่อนขบวนไปจัดกิจกรรมที่แยกราชประสงค์ คัดค้านกรณีที่พรรค พท.ไปจับขั้วกับพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ระหว่างทางพากันไปตะโกนว่า “ที่นี่มีคนตาย” จุดเทียน นำดอกกุหลาบสีแดงมาวาง ที่หน้าวัดปทุมวนาราม สถานที่ที่คนเสื้อแดงถือเป็นสัญลักษณ์การต่อสู้เมื่อปี 53 เปิดไฟแฟลชโทรศัพท์ส่องขึ้นบนสกายวอล์ก เปิดเพลง “นักสู้ธุลีดิน” ยุค 14 ตุลาของ “จิ้น กรรมาชน” รำลึกถึงผู้เสียชีวิต แต่สุดท้ายพรรค พท.กลับลืมมวลชนไปสังฆกรรมกับพรรคที่เคยเป็นฝั่งตรงข้ามในการต่อสู้ ขณะที่นายอันเจลโลว์ สาธร แกนนำกลุ่มฯกล่าวว่า ผิดหวังกับพรรค พท.ที่จับมือกับพรรคฝ่ายเผด็จการ แต่ยังมีความหวังที่จะให้พรรค พท.เปลี่ยนใจก่อนการโหวตนายกฯ แต่ถ้าไม่เปลี่ยนใจประชาชนที่สนับสนุนคงยกระดับเคลื่อนไหวแบบม็อบออร์แกนิกมากขึ้น

หวังมโนธรรม พท.หวนคืน 8 พรรค

ต่อมาเวลา 19.06 น. กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ ไปทำกิจกรรม “ส่องไฟให้ทางประชาธิปไตย” ที่แยกราชประสงค์เปิดไฟแฟลชโทรศัพท์ ฉายขึ้นฟ้า เปิดการปราศรัยโจมตีพรรค พท.ทรยศประชาชนจับมือกับเผด็จการเผยแพร่แถลงการณ์ใจความสำคัญว่าฝ่ายประชาธิปไตยได้รับชัยชนะหลังเลือกตั้งอย่างถล่มทลายแต่จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ เพราะกลยุทธ์ของเผด็จการที่วางเหล่า สว.ไว้เป็นเครื่องมือขวางมติของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยเมื่อพรรค พท. และพรรคฝ่ายประชาธิปไตยอื่นเริ่มที่จะตระบัดสัตย์หักหลังประชาชนจากคำพูดที่ว่า มีเรา ไม่มีลุง กลายเป็นเพียงเทคนิคการหาเสียง ถึงเวลาประชาชนจะออกมาร่วมกันส่องแสงสว่างให้ถึงหัวใจของสมาชิกพรรค พท.เพื่อเรียกขานมโนธรรมความยึดมั่นในจิตวิญญาณประชาธิปไตย และคำสัญญาด้วยความหวังที่ต้องการให้ 8 พรรค ฝ่ายประชาธิปไตยกลับมาจับมือกันอีกครั้ง ขอเชิญชวนประชาชน และทุกกลุ่มองค์กรทั่วประเทศมาร่วมแคมเปญส่องไฟให้ทางประชาธิปไตย ด้วยการร่วมกันรวมตัวส่องไฟฉาย ณ ที่ทำการพรรค พท.ทุกสาขา หรือสถานที่สาธารณะต่างๆจนกว่าจิตวิญญาณประชาธิปไตยจะหวนกลับคืนสู่พรรค พท.