“อี้ แทนคุณ” ย้อนเจ็บ “มีก้าวไกลไม่มีกู” หลัง “ปชป.” ประกาศชัด ไม่ร่วมรัฐบาลหากยังมีแก้ 112  ย้ำใครๆ ก็ไม่คบ เหมือน “แกะดำ” ทางการเมืองหรืออาจกลายเป็น “ตัวถ่วงประชาธิปไตย” 

วันที่ 22 กรกฎาคม 2566 นายแทนคุณ จิตต์อิสระ รักษาการประธานคณะกรรมการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนและความเสมอภาคระหว่างเพศพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึง กรณีพรรคต่างๆ ออกมาประกาศจุดยืน ไม่ร่วมรัฐบาลหากมีพรรคก้าวไกลโดยเฉพาะหลังประชุมกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์แล้วมีข้อสรุปที่ไม่ร่วมกับรัฐบาล หากพรรคก้าวไกลยังมีแนวความคิดแก้ไข ม.112 ซึ่งเชื่อว่าก้าวไกลจะยังคงแนวคิดนี้ไว้เพื่อหล่อเลี้ยงมวลชนสร้างความขัดแย้งและสร้างจุดขายให้ตัวเองต่อไป ซึ่งปรากฏการณ์ที่พรรคการเมืองต่างพร้อมใจแสดงจุดยืนไม่ร่วมกับก้าวไกลถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์การเมืองไทยมาก่อนเลย เหมือน “แกะดำ” ทางการเมืองหรืออาจกลายเป็น “ตัวถ่วงประชาธิปไตย” คอยเอาดีใส่ตัว ทำตัวเป็นเด็กมีปัญหาเอาแต่ใจ และสุดท้ายไม่มีใครอยากคบหรืออยู่ใกล้ด้วยจนกลายเป็นปัญหาของระบบ 

ทั้งหมดนี้เกิดจากพฤติกรรมก้าวร้าวก้าวล่วงของก้าวไกลเองที่สะสมมาตลอดหลายปี อย่าเอาชั่วใส่คนอื่น นอกจากจุดยืนเรื่องอยากแก้ไข ม.112 แล้ว แล้วยังมีประเด็นที่ประชาชนเริ่มตาสว่างหลังจากแกนนำทยอยออกมายอมรับว่านโยบายที่เคยหาเสียงไว้ทำไม่ได้เนื่องจากหลายเงื่อนไข อย่างเช่น รัฐสวัสดิการเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุและเบี้ยคนพิการเดือนละ 3000 บาท ต้องไปปรับลดงบประมาณให้ได้ก่อน  ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 450 ต้องไปออกกฎหมายลดภาษีเพื่อชดเชยผลกระทบของผู้ประกอบการที่ต้องจ่ายเพิ่ม รวมทั้งแนวคิดที่อาจเข้าข่ายแบ่งแยกดินแดน เป็นต้น

...

ตนจึงอยากให้ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้ตรวจสอบวิธีการหาเสียงแบบก้าวไกล ที่เน้นโฆษณาชวนเชื่อแบบหมกเม็ดซ่อนเงื่อนไขแล้วมาเฉลยหลังได้คะแนนเสียงแล้วว่า “เข้าข่ายหลอกลวงประชาชน” หรือไม่ ไม่ควรปล่อยผ่านไป 

ดังนั้น หลังจากนี้ตนเป็นห่วงม็อบที่เคลื่อนไหวแสดงออกในลักษณะหมิ่นเหม่ เช่น การเปลี่ยนธงชาติเป็นธงดำ การทำลายสัญลักษณ์ที่เกี่ยวข้องกับสถาบัน การใช้ความรุนแรงทั้งทางกายภาพและในโลกออนไลน์ โดยเฉพาะอยากเตือนผู้ชุมนุมที่ปราศรัยที่มีการพาดพิงสถาบันหลายครั้งว่า ให้เข้าใจดีว่าเวลาอยู่ต่อหน้ามวลชนที่เห็นพ้องกันไปในทางเดียวกันมันทำให้เกิดความฮึกเหิมอยากพูดอะไรก็ได้ให้เกิดการเสริมพลังหมู่ แต่หากผิดกฎหมายก็ต้องถูกดำเนินคดี และปัจจุบันมีการถ่ายทอดผ่านสื่อออนไลน์จะเป็นหลักฐานชั้นดีในการดำเนินคดีและทำให้คนจดจำพฤติกรรมของพวกคุณ และเวรกรรมเหล่านี้จะย้อนกลับไปสู่พวกคุณอย่างแน่นอน