“พล.อ.ประยุทธ์” ติดตามภาพรวมระบบการเงินของประเทศไตรมาสที่ 1/2566 โดยรวมมีเสถียรภาพ ได้รับผลดีจากเศรษฐกิจไทยที่แนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง ด้านธนาคารพาณิชย์ มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง

วันที่ 15 มิถุนายน 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์ภาพรวมเสถียรภาพระบบการเงินประเทศไทย ซึ่งรายงานของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เกี่ยวกับภาพรวมเสถียรภาพระบบการเงินประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2566 ระบุ ระบบการเงินโดยรวมมีเสถียรภาพ ได้รับผลดีจากเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง 

ขณะที่ปัญหาสถาบันการเงินในประเทศเศรษฐกิจหลักในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้ส่งผลต่อระบบการเงินไทยอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากสถาบันการเงินและภาคธุรกิจไทยมีความเชื่อมโยงกับสถาบันการเงินและสินทรัพย์เสี่ยงที่เกิดปัญหาจำกัด รวมถึงธนาคารพาณิชย์มีระดับเงินกองทุนและเงินสำรองที่เข้มแข็ง และความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทยจากปัจจัยในประเทศปรับลดลง แต่ยังมีจุดเปราะบางที่ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ได้แก่ 

(1) ความสามารถในการชำระหนี้ของครัวเรือนและธุรกิจ ที่ฐานะการเงินของบางกลุ่มยังคงเปราะบาง
(2) ตลาดการเงินไทย ยังสามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ แต่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดต่อไป 

ขณะที่ความเสี่ยงจากปัจจัยต่างประเทศปรับเพิ่มขึ้น โดยความเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ 

(1) ปัญหาสถาบันการเงินในต่างประเทศ
(2) การชะลอตัวของอสังหาริมทรัพย์โลกที่อาจส่งผ่านความเสี่ยงผ่าน second round effect มาสู่ระบบการเงินไทย
(3) ความสามารถในการชำระหนี้ของภาคธุรกิจในต่างประเทศ ที่อาจส่งผลกระทบเชิง sentiment ต่อตลาดการเงินไทย

...

โฆษกรัฐบาล ระบุต่อไปว่า สำหรับรายงานเสถียรภาพระบบการเงินไทย รายไตรมาส (Financial Stability Snapshot) ซึ่ง ธปท. จัดทำ ครอบคลุมประเด็นความเสี่ยงด้านเสถียรภาพระบบการเงินที่สำคัญ 8 ด้าน คือ ภาคครัวเรือน ภาคธุรกิจ ภาคอสังหาริมทรัพย์ ภาคธนาคารพาณิชย์ & non-bank ภาคสหกรณ์ ภาคตลาดการเงิน ภาคต่างประเทศ และภาคตลาดสินทรัพย์ดิจิทัล โดยภาพรวมเสถียรภาพระบบการเงินประจำไตรมาสที่ 1 ปี 2566 สถานะความเสี่ยง ณ ปัจจุบัน มีดังนี้  

1. ภาคครัวเรือน ยังเปราะบางจากภาระหนี้สูง แม้รายได้เริ่มฟื้นตัวและเงินเฟ้อผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว แต่ยังต้องติดตามความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้เปราะบาง โดยเฉพาะครัวเรือนกลุ่มที่รายได้ฟื้นตัวช้า และกลุ่มที่มีหนี้สูง 

2. ภาคธุรกิจ ประกอบด้วย 

(1) ธุรกิจขนาดใหญ่มีความสามารถในการชำระหนี้และทำกำไรลดลง แต่ยังมีสภาพคล่องและฐานะการเงินในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ดี โดยยังต้องติดตามผลกระทบจากความต้องการซื้อในตลาดโลกที่ชะลอลงต่อภาคการผลิตที่เน้นการส่งออก เช่น เหล็ก แผงวงจรและเซมิคอนดักเตอร์ ยางและพลาสติก รวมถึงติดตามบางบริษัทในกลุ่มก่อสร้าง
(2) SMEs รายได้ทยอยฟื้นตัว แต่คุณภาพสินเชื่อและฐานะการเงินยังเปราะบาง ยังต้องติดตามการฟื้นตัวของกลุ่มปิโตรเคมี เหล็ก สิ่งทอ ปิโตรเลียม และขนส่งสินค้า ที่ความต้องการซื้อในตลาดโลกชะลอลง และติดตามความต่อเนื่องของการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรม และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 

3) ภาคอสังหาริมทรัพย์ ประกอบด้วย 

(1) เพื่อการอยู่อาศัย : ตลาดที่อยู่อาศัยฟื้นตัวต่อเนื่องตามแนวโน้มเศรษฐกิจ ด้านอุปสงค์ชะลอลงบ้างหลังสิ้นสุดการผ่อนคลาย LTV และยังมีความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นกับการฟื้นตัวของผู้ประกอบการ SMEs
(2) เพื่อการพาณิชย์ : อัตราการเช่าของพื้นที่ค้าปลีกปรับดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่อัตราการเช่าของพื้นที่สำนักงานแม้จะยังอยู่ในระดับสูง แต่ปรับลดลงจากอุปทานที่สูงขึ้น 

4) ภาคธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) และ Non-bank ประกอบด้วย 

(1) ระบบธนาคารพาณิชย์ ยังสามารถสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจ ผลประกอบการกลับมาอยู่ในระดับเดียวกับช่วงก่อนโควิด-19 โดยระดับเงินกองทุน เงินสำรองและสภาพคล่องยังเข้มแข็ง
(2) Non-bank ขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ยังมีฐานะอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ยังต้องติดตามคุณภาพสินเชื่อที่เห็นสัญญาณที่ด้อยลง โดยเฉพาะสินเชื่อส่วนบุคคลภายใต้การกำกับ (ที่มีทะเบียนรถเป็นประกัน) 

5) ภาคสหกรณ์ออมทรัพย์ (สอ.) ซึ่งโดยรวมยังคงมีสภาพคล่องเพียงพอรองรับการดำเนินกิจการ แต่ต้องติดตาม สอ.บางแห่ง ที่อาจสะสมความเสี่ยงจากการลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจได้รับผลกระทบรุนแรงหากตลาดการเงินมีความผันผวนสูง 

6) ภาคตลาดการเงิน แม้ตลาดการเงินโลกมีความผันผวนสูงจากปัญหาภาคธนาคารในต่างประเทศ แต่ตลาดการเงินไทยได้รับผลกระทบจำกัดจากสถานการณ์ดังกล่าว และยังสามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ โดยยังคงต้องติดตามพัฒนาการในตลาดการเงินโลก และผลกระทบต่อตลาดการเงินไทยอย่างใกล้ชิด 

7) ด้านต่างประเทศ ยังเข้มแข็งจากเงินสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูงเพียงพอสำหรับการชำระหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ขณะที่ดุลบัญชีเดินสะพัด ปรับดีขึ้นจากดุลบริการตามรายรับภาคการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเป็นสำคัญ 

8) ภาค Digital asset มีความเสี่ยงและนัยของเสถียรภาพระบบการเงินไทยโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง เนื่องจากจำนวนบัญชี active account และปริมาณการซื้อขายของนักลงทุนรายย่อยลดลงต่อเนื่อง แต่ยังต้องติดตามพฤติกรรมการลงทุนที่เกี่ยวข้องต่อเนื่อง เพราะตลาดมีความผันผวนสูง.