วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ก้าวไกล นำหลักฐานเอกสารส่วยสติกเกอร์ทางหลวง ยื่น สตช. เชื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีข้อมูลมากกว่าฝั่งตัวเอง ด้าน ตร.รับเรื่อง กำหนดกรอบเวลาทำงานไม่เกิน 15 วัน ลั่น ไปถึงใคร ไม่มีละเว้น
วันที่ 8 มิ.ย. 2566 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เดินทางไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) พร้อมด้วยตัวแทนจากสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย เพื่อนำเอกสารหลักฐานเรื่องส่วยสติกเกอร์ ที่ก่อนหน้านี้เคยมีการส่งมอบให้กับพรรคก้าวไกล ไปส่งต่อให้กับ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ เพื่อตรวจสอบและดำเนินการทางกฎหมาย หลังจากเดินทางมาถึงนายวิโรจน์ ได้เข้าไปหารือกับจเรตำรวจ ใช้เวลาในการพูดคุยกันประมาณ 30 นาที ก่อนจะออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน
นายวิโรจน์ กล่าวว่า วันนี้ตัวเองมีข้อมูลเป็นเบาะแสเบื้องต้นที่รวบรวมมาจากพลเมืองดี และอีกส่วนหนึ่งเป็นเบาะแสที่สหพันธ์ฯ ได้เอามามอบให้ตัวเอง โดยมีการจัดหมวดหมู่และรวบรวมส่งจเรตำรวจ สำหรับข้อมูลที่ให้ไปจะเป็นเบาะแสปลายทาง แต่ข้อมูลเชิงลึกและการขยายผลต้องให้เป็นหน้าที่ของตำรวจในการขยายผล ซึ่งตัวเองมั่นใจว่า วันนี้ข้อมูลที่ตำรวจมี น่าจะเป็นข้อมูลเชิงลึกกว่าข้อมูลของสหพันธ์ การมายื่นหลักฐานวันนี้จึงเสมือนเป็นการมาทดสอบว่าจะมีข้อมูลครบถ้วนตรงกันหรือไม่
...
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ความคาดหวังของการนำหลักฐานมายื่นในวันนี้ เรื่องแรกคือเรื่องการเรียกรับผลประโยชน์ และการใช้พฤติกรรมในการกลั่นแกล้งสร้างความเดือดร้อน ในการรับผลประโยชน์จากผู้ประกอบการที่สุจริต จะต้องหมดไป
ต่อมา คือ ตัวเองคาดหวังว่า นอกจากปัญหาเรื่องส่วยสติกเกอร์ ปัญหาเรื่องผลประโยชน์อื่นๆ เช่น โรงโม่หิน บ่อดินบ่อทราย ก็ควรถูกดำเนินคดีด้วย โดยการยึดใบประกอบกิจการโรงงาน ต่อมาเรื่องการค้าสำนวนของพนักงานสอบสวนบางคน เพราะบางครั้งน้ำหนักของรถบรรทุกตามกฎหมายจะจำกัด 50 กิโลกรัม แต่พอรถบรรทุกบางคันชั่งน้ำหนักเกิน 100-200 กิโลกรัม พนักงานสอบสวนสอบสวนเอาเจตนาใส่ในสำนวนด้วยและมีการเรียกรับผลประโยชน์ พร้อมกับการข่มขู่ ในขณะที่รถบรรทุกบางคันน้ำหนักเกินไปกว่า 30 ตัน แต่ได้รับการลหุโทษ นอกจากนี้ข้อมูลของคุณวิโรจน์ ยังมีบางส่วนที่พัวพันถึงอัยการบางคนด้วย
ด้าน นายอภิชาติ ไพรรุ่งเรือง ประธานสหพันธ์การขนส่งทางบกแห่งประเทศไทย บอกว่า เป้าหมายสหพันธ์ฯ คือได้มีการลงเอ็มโอยูของตัวแทนที่เข้าร่วมเอาไว้ว่า จะต้องไม่มีการทำผิดกฎหมาย ถ้ามีสมาชิกทำผิดก็จะถูกจะขับไล่ ซึ่งที่ผ่านมาระบบส่วยได้ฝังรากมานานแล้ว จึงต้องมีการตรวจสอบว่าข้อมูลของจเรตำรวจตรงกับของสหพันธ์หรือไม่ ตัวเองขอยืนยันว่าไม่มีนัยใดๆ ทั้งสิ้น และคิดว่าการแก้ปัญหาจะขึ้นอยู่กับว่าคนที่เข้ามาแก้ปัญหา จะแก้ปัญหาอย่างจริงใจหรือไม่ ซึ่งวันนี้จเรตำรวจมารับเรื่องเอง และรับปากว่าจะช่วยแก้ไขปัญหา
ส่วนกรณีที่มีการจับกุมรถบรรทุกน้ำมันเถื่อน ตัวเองยืนยันว่า ไม่เกี่ยวกับสหพันธ์ เพราะคนที่ถูกจับไม่ได้อยู่ในสหพันธ์ เพราะในเอ็มโอยูที่กำหนดไว้ร่วมกัน ระบุว่าผู้ประกอบการต้องอยู่ภายใต้กฎหมาย ซึ่งสามารถตรวจสอบได้
ด้านพลตำรวจเอกวิสนุ ปราสาททองโอสถ จเรตำรวจแห่งชาติ บอกว่า ตอนนี้ตำรวจได้ดำเนินการรับข้อมูลจากนายวิโรจน์ และสหพันธ์ฯ แล้ว หลังจากนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จะส่งคณะทำงานไปตรวจสอบว่า เรื่องนี้มีการเกี่ยวข้องหรือพาดพิงไปถึงใครบ้าง และยืนยันจะทำหน้าที่ให้เร็วที่สุด โดยทาง ผบ.ตร. ได้กำชับให้ดูแลเรื่องนี้ให้ดีที่สุด หากพบว่ามีการพาดพิงไปถึงใครก็แล้วแต่ตำรวจจะไม่ละเว้น ส่วนรถบรรทุกที่ทำถูกกฎหมายก็จะได้รับความคุ้มครอง โดยจะกำหนดกรอบเวลาการทำงานไม่ให้เกิน 15 วัน