“ศรีสุวรรณ” โผล่ ยื่นหลักฐาน กกต.เพิ่ม สอบ “ปิยบุตร-ช่อ พรรณิการ์” ปมครอบงำ “พรรคก้าวไกล” หรือไม่ กรณีโพสต์เฟซบุ๊ก พยายาม ชี้นำ ปมชิงตำแหน่ง  “ประธานสภา” ต้องเป็นของพรรคก้าวไกล เท่านั้น  

วันที่ 26 พ.ค. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมให้ กกต. พิจารณา หลังมายื่นหนังสือให้ กกต.ตรวจสอบ เอก-ป๊อก-ช่อ ครอบงำ ชี้นำพรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคมที่ผ่านมา อันเป็นการฝ่าฝืน มาตรา 28 และ มาตรา 29 แห่ง พ.ร.ป.พรรคการเมือง 2560 หรือไม่

แต่ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊กของตนว่า ประธานสภาผู้แทนราษฎร ตำแหน่งที่พรรคก้าวไกลเสียไปไม่ได้เป็นอันขาด พร้อมอธิบายเหตุผลมากมาย ซึ่งต่อมา เป็นเหตุให้ ว่าที่ ส.ส.พรรคก้าวไกล และกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ต่างออกมาให้สัมภาษณ์ และหรือโพสต์ข้อความ แสดงความเห็น เพื่อยืนยันว่า ตำแหน่งประธานสภาฯ ต้องเป็นของพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ลงในสื่อสังคมออนไลน์มากมาย เช่น นายรังสิมันต์ โรม น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล

การที่ว่าที่ ส.ส.ท่านใดจะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้น เป็นอำนาจหน้าที่ของเหล่า ส.ส.ทั้ง 500 คน ที่ประชาชนได้เลือกตั้งให้ไปเป็น ส.ส. แล้วเข้าไปเลือกกันเอง ว่า ท่านใดจะมีความเหมาะสม เพราะทุกคนน่าจะมีวิจารณญาณที่จะตัดสินได้เอง โดยไม่จำเป็นต้องมีใครมาชี้นำ แต่ทว่าการที่นายปิยบุตร แสงกนกกุล ออกมาโพสต์ข้อความลงในสื่อสังคมออนไลน์ในลักษณะดังกล่าว จะทำให้สังคมมองไปเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากการพยายามที่จะชี้นำความคิด และการกระทำของเหล่า ว่าที่ ส.ส.ของพรรคก้าวไกล ให้ต้องช่วยกันผลักดันหรือกดดันให้พรรคร่วม ต่างๆ ยินยอมให้ตำแหน่งประธานสภาฯ เป็นของพรรคก้าวไกลเท่านั้น

...

นอกจากนั้น เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม น.ส.พรรณิการ์ วานิช อดีตกรรมการบริหารพรรคอนาคตใหม่ และกรรมการบริหารคณะก้าวหน้า ยังได้ออกมาโพสต์ฯ สำทับถึงข้อความผ่านทวิตเตอร์ ระบุว่า “ก้าวไกลต้องการเป็น #ประธานสภา เพื่อผลักดันวาระก้าวหน้าในสังคม” อีกด้วย อันชี้ให้เห็นว่าบุคคลทั้งสอง ซึ่งมิใช่สมาชิกพรรคก้าวไกล กลับมีพฤติการณ์ หรือกระทําการอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํา กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทําให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อมหรือไม่ รวมทั้งกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล ออกมาเคลื่อนไหวสอดรับกับการชี้นำของบุคคลทั้งสอง จึงอาจเป็นการฝ่าฝืน ม.28 และ ม.29 แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง 2560 ด้วยหรือไม่

ด้วยเหตุเช่นนี้ จึงต้องนำความพร้อมพยานหลักฐานมายื่นเพิ่มเติมให้ กกต. เพื่อนำไปตรวจสอบ และวินิจฉัยประกอบคำร้องเดิมที่เคยชี้เบาะแสไว้แล้ว เพื่อดำเนินการตามครรลองของกฎหมายต่อไปจนถึงที่สุด เพราะถึงที่สุดแล้วหาก กกต.วินิจฉัยว่าเป็นไปตามการชี้เบาะแส ก็สามารถเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรคที่ฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าวได้ ตาม ม.92(3)