ร่วมจับกระแสข้อเสนอนโยบายด้านการศึกษา สร้างรากฐานแข็งแกร่ง หลักประกันให้ประเทศ พร้อมเสนอ มาตรการชดเชย ภาวะการเรียนรู้ถดถอย ในเด็กปฐมวัยไทย ช่วงโควิด-19 ระบาด ที่พรรคการเมืองยังไม่ได้เสนอ แต่ ว่าที่รัฐบาลใหม่ควรทำ 

วันที่ 13 พ.ค. 66 กสศ. ชวนเครือข่ายนักวิชาการเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษาของเรา ร่วมจับกระแสข้อเสนอนโยบายด้านการศึกษาเพื่อรับมือกับปัญหาในอนาคตเหล่านี้ ในสนามหาเสียงโค้งสุดท้าย พบความโดดเด่นทางนโยบายที่เกือบทุกพรรคให้ความสำคัญไปที่สวัสดิการสนับสนุนโอกาสเข้าถึงการศึกษา ทว่า ความชัดเจนเรื่องความเสมอภาค ยังมีอะไรบ้างที่ควรเสนอในวาระที่ประเทศไทยจะมีรัฐบาลชุดใหม่ 

ดร.เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่า ใครที่อาสาเข้ามาดูแลด้านการศึกษา จำเป็นต้องทราบปัญหาด้านการศึกษาอย่างถ่องแท้และมีการศึกษาเรื่องนี้ลงไปถึงรากลึกของปัญหาที่มีความซับซ้อน เชื่อมโยงกับประเด็นปัญหาอื่นๆ มากมาย รวมถึงต้องทำงานแข่งกับเวลา เพราะปัญหาการศึกษาในหลายด้านเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

...

การดูแลเยาวชนทุกกลุ่มซึ่งเป็นอนาคตของชาติ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแค่ในสถานศึกษาแต่ต้องมองในมุมกว้างกว่านั้น ต้องมีนโยบายที่สามารถดูแลพวกเขาจากบ้านไปสู่เส้นทางการดำเนินชีวิต แต่ปัจจุบัน สิ่งที่เห็นจากนโยบายส่วนใหญ่ จะเป็นการศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ แจกเงิน ลดภาระครู แต่ยังไม่มีการส่งไม้ต่อว่าเด็กจะก้าวไปสู่ระดับการศึกษาขั้นสูงกว่าได้อย่างไร

“เราเป็นประเทศที่ประกาศใช้นวัตกรรมนำหน้า ใช้เทคโนโลยีนำหน้า แต่การศึกษายังไม่ได้ยกระดับห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) และห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของการผลิตกำลังคน ที่ต้องทำให้คนหลุดจากระบบการศึกษาให้น้อยที่สุด และส่งต่อไปสู่การศึกษาระดับอุดมศึกษาให้มากที่สุด แต่ก็ยังมีเด็กหลุดจากระบบการศึกษานับแสนราย พรรคการเมืองอาจจะบอกว่า การแก้ปัญหาการศึกษาของทั้งประเทศให้เสร็จภายในช่วงอายุของรัฐบาลคือ 4 ปี เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก แต่อย่างน้อยก็น่าจะได้เห็นคำมั่นสัญญาในการพยายามแก้ปัญหานี้อย่างเป็นระบบ หรือให้สำเร็จในบางพื้นที่เพื่อถอดบทเรียนหรือสร้างเป็น Sandbox ขึ้น อาจจะเลือกพื้นที่หรือกลุ่มคนที่เสี่ยงหลุดจากระบบการศึกษาสูงก่อน ทำเต็มร้อยไม่ได้แต่ถ้าทำ 10 ในร้อยได้อย่างน้อยก็ช่วยคนได้ 10 คนจากในร้อยคนก่อน”

ดร.เกียรติอนันต์ มองว่า การแก้ปัญหาการศึกษาให้สอดรับกับปัจจุบันมากที่สุดรัฐบาลจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยน Mindset หรือกรอบความคิดหรือทัศนคติในการแก้ปัญหา เพราะโลกในปัจจุบันหมุนเร็วมาก

“โลกของการศึกษาต้องสอดรับกับโลกของตลาดแรงงาน ในเมื่อโลกของตลาดแรงงานมีระยะเวลาของการเตรียมการคือ 3-4 ปี โลกของการศึกษาก็ต้อง 3-4 ปี นั่นคือ 1 เทอมของพรรคการเมือง ดังนั้น อย่างแรกที่ต้องทำคือต้องรู้ว่าในโลกที่อาชีพเปลี่ยนเร็ว การศึกษาก็ต้องปรับตัวให้เร็วเท่าทันระยะเวลาในการจัดการคือ 1 สมัย เพราะถ้าอะไรที่ทำไม่ได้ใน 1 สมัยคือจะไม่ทันกับโลกแล้ว กระทรวงศึกษาและกระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ต้องเปลี่ยน Mindset ว่าไม่ใช่กระทรวงที่ทำเพื่อปัจจุบัน แต่ต้องเป็น Ministry of Future คือเป็นกระทรวงที่ทำเพื่ออนาคต เป็นกระทรวงที่ต้องมองไปตรงข้างหน้าว่า เด็กจบการศึกษาแล้วจะเจออะไรบ้าง แล้วย้อนกลับมาคิดให้ได้ว่าต้องเตรียมอะไรเพื่อพวกเขา จึงจะเห็นแผนการทำงานที่ชัดเจน ซึ่งการให้เงิน การลดหนี้ ไม่ใช่บทบาทของกระทรวงแห่งอนาคต ต้องคิดใหม่ตั้งแต่เริ่ม ต้องคิดผลิตเปลี่ยน Value chain การผลิตกำลังคนตามช่วงชั้น และต้องคิดไปไกล ว่ามันจำเป็นจะต้องเป็นช่วงชั้นหรือเปล่า

เมื่อก่อนเราผลิตกำลังคนตามช่วงชั้นเพราะว่า ความสามารถของคนไม่เท่ากัน และความสามารถของการติดตามประเมินผลดูแลของครูก็ไม่เท่ากัน แต่ความจริงแล้ว เด็กมีพัฒนาการที่ต่างกัน บางคนเรียนแค่ครึ่งเทอม ก็เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างได้ง่าย มีความรู้ทางวิชาการแล้ว แต่อาจจะต้องพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์หรืออีคิว ความสามารถในการรับรู้ของตนเอง ประเมินและควบคุมอารมณ์ของตนเอง ในขณะที่บางคนอีคิวดี แต่เรียนไม่ทัน เด็กทั้งสองกลุ่มจะ Pass ชั้น กลับต้องรอ Pass พร้อมกัน

แต่ปัจจุบันถึงยุคที่กระทรวงศึกษาสามารถจะทำให้ความสามารถของเด็กเติบโตตามปัจจัยที่แท้จริง เพราะฉะนั้นเรื่องการผ่านชั้นมันอาจจะมีการยืดหยุ่น คือต้องมองพัฒนาการทางด้านร่างกายจิตใจและวิชาการไปพร้อมๆ กัน ซึ่งเมื่อก่อนแนวคิดนี้เป็นเรื่องยาก แต่สมัยนี้มีเทคโนโลยีในการติดตามเรื่องพวกนี้โดยการใช้เอไอมาเป็นผู้ช่วย ซึ่งเอไอทางด้านการศึกษากำลังถูกนำมาใช้มากขึ้นในต่างประเทศ ทั้งมาช่วยในเรื่องการติดตาม Learning Style ของเด็กแต่ละคน ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยพัฒนาไปสู่จุดที่สามารถออกแบบข้อสอบในเรื่องเดียวกันที่สร้างขึ้นมาเฉพาะสำหรับเด็กแต่ละคน มันจะหมดยุคที่ว่าไปประเมินปลาด้วยการวิ่งแข่งประเมินลิงด้วยการว่ายน้ำ”

ดร.เกียรติอนันต์ ระบุอีกว่า ปัจจุบันไม่สามารถจัดการศึกษาให้เตรียมคนเพื่ออาชีพได้เหมือนในอดีต แต่ต้องเตรียมสกิลหรือความสามารถเพื่อรับกับสถานการณ์ด้านอาชีพที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

“วิธีการจัดทรัพยากรบุคคลจะต้องเปลี่ยนวิธีคิด การเรียนเพื่ออาชีพนั้นไม่เพียงพอแล้ว ต้องเป็นการเรียนเพื่อให้มีทักษะและถ้าเรามีทักษะมากพอ เราก็สามารถไปหาอาชีพได้เอง เพราะฉะนั้น การเรียนโดยใช้สมรรถนะ การใช้ทักษะเป็นหลักจะสำคัญมาก พอเป็นแบบนี้ก็จะสอนแบบเดิมไม่ได้แล้ว ไม่ได้เป็นการเตรียมกำลังคนเฉพาะในสถานศึกษา ระบบการพัฒนาคนจะต้องมองว่าคนทุกคนจะต้องได้รับการพัฒนาการเรียนรู้ตลอดเวลา ดังนั้นโมดูลในการดูแลคน จะต้องทำให้เขาเข้าออกในการเรียนรู้ในโลกของทำงานได้อย่างรวดเร็ว ย่อยจากการเรียนรู้ของเขาในส่วนที่ย่อยที่สุดและง่ายที่สุด ทำให้คนทุกช่วงวัยเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น”

รศ.ดร.วีระชาติ กิเลนทอง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเพื่อการประเมินและออกแบบนโยบาย (RIPED) และคณบดีคณะการศึกษาปฐมวัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า รัฐต้องมีนโยบายใช้ระบบฐานข้อมูล ซึ่งเก็บและรวบรวมข้อมูลอย่างเป็นระบบทางอิเล็กทรอนิกส์มาดูแลเด็กอย่างเป็นระบบ และเชื่อมโยงการจัดการศึกษาได้ว่าหากมีมาตรการที่มีทิศทางที่ถูกต้องชัดเจน จะสามารถดูแลเด็กที่ขาดแคลนตั้งแต่เขายังเล็กให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีความรู้ความสามารถที่จำเป็นต่ออนาคต และต้องไม่ลืมว่าการลดความเหลื่อมล้ำลงได้ การช่วยพวกเขา คือการช่วยให้ประเทศมี GDP สูงขึ้น

รศ.ดร.วีระชาติ ระบุว่า หากยกตัวอย่างปัญหาสำคัญในรอบปีที่ผ่านมาก็คือ กรณีที่การระบาดของโควิด-19 ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอย่างรุนแรง มีเด็กหลุดจากระบบการศึกษานับแสนคน การแก้เรื่องนี้ นโยบายแจกเงินเพียงอย่างเดียวคงจะไม่พอ เพราะมีปัญหาเรื่องกำลังทรัพย์ของครอบครัวซ้อนอยู่ ต่อให้เรียนฟรีก็ฟรีแค่ค่าหน่วยกิต ไม่ได้ฟรีแบบครบวงจรหรือครอบคลุมค่าใช้จ่ายจริง หากประเมินแล้ว แต่ละครอบครัวอาจจะต้องใช้ทุนการศึกษาประมาณ 40,000-70,000 บาทจึงจะครอบคลุมการแก้ปัญหาได้จริง ก็ต้องใช้งบประมาณมหาศาลและเป็นไปได้ยากที่จะได้เรียน

นโยบายเร่งด่วนที่อยากเห็นรัฐบาลใหม่ให้ความสำคัญ คือมาตรการชดเชย ภาวะการเรียนรู้ถดถอย (Learning Loss) ในเด็กปฐมวัยไทยช่วงโควิด-19 ระบาด และในระยะยาว คือการให้ความสำคัญกับการสร้างโอกาสในการเรียนรู้ และวางแนวทางในการกระจายอำนาจทางด้านการศึกษา หรือแนวทางในการสร้างแรงจูงใจให้การศึกษาพุ่งเป้าไปที่การพัฒนาเด็ก นโยบายที่จะถูกประกาศขึ้นต้องสามารถนำมาแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในห้องเรียน โดยสามารถจำแนกโรงเรียนที่พร้อมกับไม่พร้อมรับมือกับความเหลื่อมล้ำ ซึ่งแต่ละโรงเรียนแตกต่างกันได้ มีกระบวนการที่ชัดเจนว่าโรงเรียนใดจะใช้แผนเชิงปฏิบัติแบบไหนที่ทำให้ความเหลื่อมล้ำและช่องว่างทางการศึกษาแคบลง ใช้เครื่องมืออะไรเพื่อยกระดับความพร้อมของเด็กผ่านทักษะทางปัญญา ทักษะทางพฤติกรรม เข้าไปดูแลด้านความพร้อมของครอบครัว ความพร้อมของโรงเรียน

“รัฐบาลใหม่ควรจะใส่ใจเรื่องการทำงานโดยใช้ฐานข้อมูลและงานวิจัยมาทำงานด้านการศึกษาและทุนมนุษย์มากขึ้น เพราะที่ผ่านมาเรามีนโยบายด้านการศึกษาที่ซ้ำซ้อน หรือเป็นนโยบายที่ไม่ได้คำนึงถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับตัวเด็กจริงๆ หรือไม่ได้มีการใช้ฐานข้อมูลติดตามการแก้ปัญหาและพิจารณาแนวทางในการจัดการศึกษาอย่างรอบด้าน
ปัจจุบันหลายประเทศใช้ระบบฐานข้อมูลติดตามตัวเด็ก เพื่อจะเห็นการพัฒนาทางการศึกษาของเด็ก โดยสามารถเข้าถึงปัญหาที่เด็กเผชิญอยู่และทำให้ทราบว่านโยบายต่างๆ ซึ่งถูกนำไปใช้สามารถพัฒนาการศึกษาของเด็กได้มากแค่ไหน รวมถึงทราบว่านโยบายไหนที่แก้ปัญหาไม่ตรงจุดหรือเป็นนโยบายซ้ำซ้อน”

ดร.สมคิด แก้วทิพย์ ผู้จัดการโครงการทุนพัฒนาอาชีพและนวัตกรรมที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน กสศ. กล่าวว่านโยบายด้านการศึกษายุคใหม่จำเป็นต้องคำนึงถึงศักยภาพของชุมชน ด้วยการสร้างกลไกให้ชุมชนแต่ละแห่งสามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิตจนสามารถดูแลตนเองได้ รัฐบาลใหม่จำเป็นที่จะต้องศึกษาข้อมูลด้าน ‘การส่งเสริมการเรียนรู้เชิงระบบ’ ซึ่งข้อมูลเรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีอยู่แล้วอย่างละเอียด

“หากเข้ามาดูเรื่องนี้ จะทำให้ทราบว่า การเตรียมการสำหรับการเรียนรู้ยุคใหม่ในระดับชุมชน คือ รัฐจะต้องเข้าไปส่งเสริมการเรียนรู้ของแต่ละชุมชนให้เข้าใจปัจจัยแวดล้อมของแต่ละแห่ง สร้างความเข้าใจในทักษะที่เป็นรากฐานของแต่ละแห่ง จนสามารถยกระดับชีวิตและคุณภาพการศึกษา สังคม วัฒนธรรม อย่างเป็นระบบระเบียบ ยกระดับทักษะให้กลุ่มแรงงานสามารถประกอบอาชีพ มีรายได้หาเลี้ยงตนเองและครอบครัว ปัจจุบันเรามีชุมชนต้นแบบการพัฒนาที่สามารถถ่ายทอดทักษะ เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ อยู่มากมาย”

ดร.สมคิด กล่าวว่าที่ผ่านมามีการทดลองพัฒนาทักษะแรงงานโดยเริ่มจากปัญหาของกลุ่มประชากรวัยแรงงานที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ จนเกิดเครื่องมือและงานวิจัยที่สามารถสร้างนวัตกรรมชุมชนในรูปแบบต่างๆ อยู่มากมาย เช่น เทคโนโลยีในการประกอบการ การสร้างผลิตภัณฑ์ที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ การสร้างแหล่งเรียนรู้ และการกำหนดบทบาทผู้นำชุมชนรุ่นใหม่ให้สามารถพัฒนารูปแบบการส่งเสริมทักษะและอาชีพที่สามารถนำเสนอและแลกเปลี่ยนกับหน่วยที่เกี่ยวข้อง จนเกิดระบบฐานข้อมูลอาชีพในท้องถิ่นและองค์ความรู้ในการบริหารจัดการ เกิดโมเดลทางธุรกิจที่ช่วยให้คนในชุมชนมีงานทำ มีรายได้สูงขึ้น สามารถขับเคลื่อนเชิงรุกและเสนอเป็นนโยบายที่ขับเคลื่อนไปได้อย่างต่อเนื่องอยู่แล้วมากมาย

“ชุมชนหรือท้องถิ่น สามารถเป็นระบบนิเวศของการศึกษาที่ดีและมีบทบาทสำคัญในการดูแลเยาวชนในพื้นที่ได้ เช่น บางพื้นที่มีโครงการผลิตอาหาร โครงการที่มีการเลี้ยงปลา ปลูกผัก แล้วให้เด็กนำไปทานที่บ้านเป็นมื้อเช้า แล้วถ้าเด็กเข้าโรงเรียนช่วงใกล้เวลาเรียนจะมีโอกาสได้กินอาหารที่มีคุณค่าทางอาหารครบถ้วน มีอาหารกล่องหรือปิ่นโตกลับบ้าน มีคุณภาพชีวิตที่ดี”

ดร.ศุภโชค ปิยะสันติ์ ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยไร่สามัคคี อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย อนุกรรมการกำกับทิศทางของทุนครูรัก(ษ์)ถิ่น กสศ. กล่าวว่า นโยบายด้านการศึกษายุคใหม่ จำเป็นต้องนำข้อมูลมาประยุกต์ใช้กับการทำงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดและสามารถแก้ปัญหาที่มีอยู่ได้จริงโดยเฉพาะเรื่องของการจัดสรรงบประมาณเพื่อดูแลโรงเรียนต่างๆ อย่างเข้าใจปัญหาที่มีอยู่จริง

“ปัจจุบันมีระบบการเก็บข้อมูลของโรงเรียนแต่ละแห่งที่มากพอจะนำมาออกแบบการช่วยเหลือด้านงบประมาณให้แตกต่างไปจากในอดีตซึ่งเคยช่วยแบบเรตเดียวกันทั้งประเทศ โรงเรียนที่มีศักยภาพสูง อยู่ในเมือง รัฐก็ให้เงินสนับสนุนเท่ากับโรงเรียนที่อยู่"