ไทยรัฐดีเบต ถกแก้ฝุ่นภาคเหนือเดือด “ศิธา” อัด อย่าโยนบาปให้นายทุน แต่ “ลุงตู่” บริหารห่วย “ชัยวุฒิ” ชี้ แก้ปัญหาต้องเสริมเทคโนโลยีและจัดงบ ท้ารัฐบาลไหนมาก็ทำแบบนี้ “หมอชลน่าน” แย้ง พท.ไม่ทำ
วันที่ 28 เมษายน 2566 ที่ นิมมาน คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ จังหวัดเชียงใหม่ ไทยรัฐดีเบต “เลือกตั้ง’66 #เริ่มใหม่ไทยแลนด์ กับไทยรัฐ” ดำเนินรายการโดย จอมขวัญ หลาวเพ็ชร์ เพื่อประชันวิสัยทัศน์ ประชันนโยบายจากแต่ละพรรคการเมือง ที่พร้อมเข้ามาแก้ปัญหาให้พี่น้องชาวภาคเหนือ ในประเด็นการแก้ไขปัญหาฝุ่น ว่าหากจะแก้ให้ลึกที่สุดต้องแก้จากอะไร
โดย นายสามารถ แก้วมีชัย ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ระบุว่าสาเหตุของฝุ่นเกิดจากการเผา เนื่องจากมีการไปส่งเสริมให้ทำเกษตรแปลงใหญ่ในต่างประเทศ จากบริษัทในไทย ซึ่งจากผลวิจัยในมหาวิทลัยเชียงใหม่พบการเผาในพม่าและลาว กว่า 7 ล้านไร่ มีการนำข้าวโพดกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท ซึ่งในประเทศสามารถควบคุมการเผาได้ และประชาชนให้ความร่วมมืออย่างดี แต่สิ่งที่ยังควบคุมไม่ได้คือพื้นที่กรมอุทยาน และกรมป่าไม้ที่มักใช้กฎหมายมากกว่าหลักรัฐศาสตร์ ที่ต้องให้ประชาชนไปมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา และต้องส่งเสริม พ.ร.บ.อากาศสะอาด
...
ด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า หากไม่แก้ที่นายทุนโรงงานอาหารสัตว์ จะไม่สามารถแก้ไขได้ จึงต้องไปแก้กฎหมาย เพื่อให้นายทุนโดนด้วย ไม่ใช่แค่เกษตรกรเท่านั้นที่ถูกกฎหมายเล่นงาน โดยรัฐบาลต้องกล้าออก พ.ร.บ.ฝุ่นควัน เพื่อเอาผิดนายทุน และออกมาตรฐานกำกับเกี่ยวกับข้าวโพดหากเกี่ยวข้องกับการเผาต้องยุติการนำเข้า รวมถึงต้องส่งเสริมเทคโนโลยีการเกษตรเพื่อไปแก้ปัญหาตอซัง
ขณะที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ร้อยละ 80 เกิดจากการเผาไหม้ที่เกิดจากทั้งภายในประเทศและภายนอกประเทศ ในเรื่องการเกษตรมองว่าอุตสาหกรรมการส่งออกไก่ทำให้เป็นสาเหตุต้องนำเข้าข้าวโพดมาเป็นอาหารสัตว์ ทำให้เกิดการเผา และเป็นปัญหาฝุ่น PM 2.5 ตามมา และอีกส่วนหนึ่งคือการลอบเผาป่า
ส่วนนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า เรื่องการปลูกข้าวโพด 7 ล้านไร่ถือเป็นปัญหา ซึ่งรัฐบาลกำลังหาวิธีการนำเข้าตอซังมาแปรรูปเป็นเชื้อเพลิง รวมถึงการขนซังข้าวโพดลงมาจากดอย แต่ติดเรื่องงบประมาณ อีกเรื่องหนึ่งคือการเผาป่า ที่ต้องมีการจัดงบประมาณป้องกันไฟป่า จึงต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาแก้ปัญหาประกอบ
นายนราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า มองมิติเดียวไม่ได้ เพราะต้องมองว่าทำไมเกษตรกรต้องไปปลูกข้าวโพดเยอะขึ้น หากไม่ให้ปลูกข้าวโพดอาหารสัตว์จะแพงขึ้น และภาระจะตกไปที่ประชาชน จึงต้องเอาอุตสาหกรรมเกษตรกลับมา เพื่อควบคุมการเผาได้ง่ายกว่า เช่นเดียวกับอาเซียน หากไปซื้อข้าวโพดที่มีการเผา ที่ห้ามการนำเข้า แต่ตนเองมองว่าต้องส่งเสริมเหกษตรพันธสัญญา เป็นเกษตรแปลงใหญ่
ด้านนายศิธา ทิวารี แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคไทยสร้างไทย กล่าวว่า ต้องให้ความเป็นธรรมกับนายทุน หรือบริษัทเอกชน ไม่ว่ามาตรการจะปลูกในประเทศหรือนอกประเทศ เราสามารถตกลงกันได้ ทั้งเรื่องภาวะโลกร้อนและสิ่งแวดล้อม เหมือน สิงคโปร์ที่ไปปลูกปาล์มในอินโดนีเซีย ก็มีกฎหมายที่สามารถควบคุมได้ ซึ่งที่ผ่านมามีการลงนามโมเดล BCG ไปแล้ว และจิสด้าฉายดาวเทียมลงมาสามารถเห็นจุดฮอตสปอตอยู่แล้ว ที่สามารถจัดการได้ จึงรบกวน ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ ประจำภาคเหนือ หรือ เสธ.หิ ไปบอกนายกฯ และนายชัยวุฒิไปบอก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และ นายนราพัฒน์ ไปคุยกับ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี ไปคุยกับกับบริษัทเอกชนเรื่องตัวเลข
จากนั้น นพ.ชลน่าน ขอใช้สิทธิพาดพิง บอกว่า สิ่งที่ลึกที่สุดคือเรื่องการแก้กฎหมาย ที่ พ.ร.บ.อากาศ 3 ฉบับตกไปแล้ว
ต่อมา ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ หรือ เสธ.หิ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ ประจำภาคเหนือ กล่าวว่า ต้นเหตุของฝุ่นเกิดทั้งจากการเผา พื้นที่แอ่งกระทะ และสภาพอากาศ ที่เราไม่สามารถควบคุมธรรมชาติได้ จึงขออย่าบอกว่ารัฐบาลไม่ทำ แต่ตอนนี้กำลังรอทำฝนเทียมอยู่ แต่สภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย อากาศร้อนจัด ประเทศเราเป็นประชาธิปไตย การไปโจมตีบริษัทเอกชน ขอให้นึกถึงอดีตด้วยที่เราเคยขาดแคลนอาหาร และเลิกโยนบาปให้บริษัทเอกชน เพราะประชาชนบางคนก็ไม่มีความรู้ที่เพียงพอ จึงต้องให้ความรู้ เพราะมีการเผาตั้งแต่ครัวเรือน ลามไปถึงอุตสาหกรรม วันนี้ต้องมีเทคโนโลยีเข้ามาควบคุมไฟป่า และต้องแบ่งพื้นที่ให้ท้องถิ่นควบคุม อีกทั้งรัฐบาลต้องมีการสนับสนุนให้ใช้รถ EV
จากนั้น นพ.ชลน่าน ขอใช้สิทธิพาดพิง กล่าวว่า เราไม่ได้โยนบาปให้ใคร แต่สิ่งที่พูดคือข้อเท็จจริง ขณะที่ นายศิธา กล่าวว่า เห็นด้วยกับเสธ.หิ ว่านักการเมืองไม่ควรไปโยนบาปให้เอกชน แต่ตนเองหมายความว่า พล.อ.ประยุทธ์ บริหารราชการแผ่นดินในฐานะนายกรัฐมนตรีห่วย แต่ผมไม่ได้ว่าเอกชน จึงควรไปคุยกับเอกชนเพื่อมาแถลงให้ประชาชนเข้าใจ และเชื่อว่ามหาเศรษฐีของเมืองไทยก็เป็นห่วงเป็นใยประชาชน
ด้านนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวว่า มีการกล่าวถึงการทำละอองฝน และเอานำไปพ่น ซึ่งเรื่องนี้อาจทำให้นักวิชาการน้อยใจหาก เพราะมีการบอกมาหลายปีแล้วว่าละอองน้ำ ละอองฝนไม่สามารถไปจับฝุ่นได้ แต่ก็ยังมีการเข้าใจผิด
นายชัยวุฒิ กล่าวว่า นายวิโรจน์ เข้าใจผิด ที่รัฐบาลพยายามทำฝน เพราะปีนี้เกิดไฟป่ารุนแรงและแล้งมาก จึงพยายามทำให้มีฝนตกเพื่อให้ป่าชุ่มชื้น เพื่อไม่ให้ไฟป่ามากเกินไป ปีหน้าจึงต้องวางแผนงบประมาณและเทคโนโลยี ซึ่งตนเองไปคุยกับนายกฯ มาแล้ว ถามว่าจะไปจับชาวบ้านได้เหรอ เพราะเขาต้องทำมาหากิน จึงต้องเสริมด้วยเทคโนโลยี
พิธีกรจึงถามว่า ถ้าได้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกฯ จะต่าง พล.อ.ประยุทธ์ อย่างไร นายชัยวุฒิ กล่าวว่า ผมว่ารัฐบาลไหนก็ต้องทำแบบนี้ ไม่ต่างกัน ว่าจะไปจับชาวบ้านได้เหรอ
ด้านนายสามารถ แก้วมีชัย ผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคภูมิใจไทย ขอใช้สิทธิพาดพิงเรื่องหัวหน้าพรรค ระบุว่า หากหัวหน้าพรรคได้เป็นนายกฯ ประกาศชัดเจนแล้ว ปัญหาฝุ่นข้ามประเทศจะไปเจรจา หากเจรจาแล้วไม่เป็นผลก็จะไม่เข้าข้าวโพดเข้ามาสักฝักเดียว พิธีกรจึงถามต่อว่า ทำไมไม่เจรจาตั้งแต่ตอนนี้ นายสามารถ กล่าวว่า เป็นเพราะยังไม่ได้เป็นนนายกรัฐมนตรี อำนาจหน้าที่โดยตรงยังไม่มี
ด้าน นพ.ชลน่าน ขอใช้สิทธิพาดพิง บอกถ้าใครมาเป็นรัฐบาลก็ทำเหมือนกัน ยืนยันว่าถ้าเป็นพรรคเพื่อไทยจะไม่ทำแบบนายชัยวุฒิพูดแน่นอน.