ทีมศก. ปชป. ชูนโยบาย “กระตุ้นเศรษฐกิจไม่เพิ่มหนี้สาธารณะ” พร้อมปรับโครงสร้างตลาดเงินตลาดทุน เปิดทาง SME มีศักยภาพกว่าแสนรายเข้าตลาดหุ้น หาเงินด้วยการขยายฐานภาษีให้ใหญ่ขึ้น
วันที่ 24 เม.ย. 2566 ที่ห้องประชุมชั้น 3 พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) อาคาร ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ทีมเศรษฐกิจพรรคปชป. นำโดยนายพิสิฐ ลี้อาธรรม อดีต รมช.คลัง และประธานคณะกรรมการนโยบายพรรค ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ จันทรทัต อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) นายเกียรติ สิทธีอมร อดีตประธานผู้แทนการค้าไทย และประธานคณะกรรมการต่างประเทศ นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าฯ กทม. ผู้เชี่ยวชาญด้านคมนาคมขนส่งโครงสร้างพื้นฐาน และโครงการขนาดใหญ่ พร้อมทีมผู้สมัคร ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อของพรรค ร่วมแถลงข่าววาระประเทศไทย ครั้งที่ 3 ในธีม “ปชป.ชูนโยบายกระตุ้น ศก.ไทย โดยไม่เพิ่มหนี้สาธารณะ”
โดย ม.ร.ว. ศศิพฤนท์ กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ของทีมเศรษฐกิจพรรคปชป. ที่มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค คือ การสร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติ ผ่านกลไกการกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 1 ล้านล้านบาทเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่เติบโตช้าลง อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้น ราคาพลังงานสูงขึ้น ปัญหาความยากจน ปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะจากผลกระทบจากโควิด-19 รวมถึงผลกระทบจากต่างประเทศ เช่น วิกฤติธนาคารพาณิชย์ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา มีเป้าหมายที่จะกระตุ้นให้เกิดการเติบโตของ GDP ไม่น้อยกว่า 5% โดยไม่เพิ่มหนี้สาธารณะผ่านกลไกและและมาตรการต่างๆ อาทิ
...
การปรับโครงสร้างตลาดเงินตลาดทุน พรรคปชป.จะสนับสนุนให้การระดมทุนผ่าน IPO ง่ายขึ้น จะไม่จำกัดขนาด ฐานะการเงิน หรือผลประกอบการ โดยให้เน้นเพียงการเปิดเผยข้อมูลอย่างเพียงพอ (full disclosure) ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์เพียงแค่หลักพัน แต่มีบริษัทอีกกว่าหลักแสนบริษัทที่ต้องการเข้าไประดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แต่ไม่สามารถทำได้ จะจัดให้มีตลาดหลักทรัพย์หลากหลายรูปแบบสำหรับสินค้าทางการเงินหลายประเภท รวมไปถึงสนับสนุน crowdfunding ให้กระจายลงไปถึง SME กลุ่ม start up และกลุ่มฐานรากที่ปรับเป็นนักธุรกิจแล้ว เพื่อเชื่อมผู้ประกอบการรายย่อยให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ ดังนั้น ก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์จะต้องสร้างกติกาให้บริษัทเหล่านี้มีโอกาสเข้ามาอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ หรือตลาด mai ได้ง่าย ให้รัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีจากบริษัทเหล่านี้ได้ ซึ่งเดิมอาจจะเลี่ยงหรือไม่ได้เสียภาษี เพื่อบริหารภาษีเหล่านี้ไปเพิ่มสวัสดิการให้กับกลุ่มฐานราก เช่น เกษตรกร ผู้ประกอบการ SME ค้าขาย อาชีพอิสระ และรับจ้างทั่วไป จะเป็นการกระจายรายได้และลดความเหลื่อมล้ำ รวมทั้งสร้างความมั่นคงทางอาชีพและกิจการของคนทุกกลุ่มในสังคมได้อย่างแท้จริง
“เราต้องการหาเงินก่อนที่จะใช้เงิน ด้วยระบบเศรษฐกิจทั้งหมดที่จะทำเงินให้รัฐบาลไปจับจ่ายใช้สอยคือ ภาษี ซึ่งพรรคปชป.ต้องทำให้ฐานของผู้เสียภาษีใหญ่ขึ้น ปัจจุบันโครงสร้างประชากรเป็นรูปพีระมิด ด้านล่างสุดคือกลุ่มฐานรากที่มีความเปราะบาง การลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมเป็นไปได้ยาก จึงต้องเชื่อมให้คนกลุ่มบนที่มีรายได้สูงและมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้มาสนับสนุนคนกลุ่มล่าง พร้อมผลักดันให้ SME หรือบริษัทขนาดเล็ก ขนาดกลาง เข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น มาเป็นฐานภาษี ซึ่งแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ 1. กลุ่มที่พร้อมจะกลายเป็นนักธุรกิจ ใส่เงินเข้าไป ใส่วิชาการ ใส่โนฮาวเข้าไปกลายเป็น SME ในอนาคตที่พร้อมเสียภาษีได้อีก 2. กลุ่มที่ยังขาดศักยภาพ เราต้องใช้สวัสดิการของรัฐใส่เข้าไป” ม.ร.ว. ศศิพฤนท์ กล่าว
ม.ร.ว. ศศิพฤนท์ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้พรรคจะเร่งรัดให้สถาบันการเงินเข้าสู่ digitize banking system เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการ ลดค่าใช้จ่าย มีการบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม สามารถลดส่วนต่างดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ลง จะช่วยลดภาระของลูกหนี้และก่อให้เกิดความเป็นธรรมต่อผู้ฝากเงินจะมีการสนับสนุนจัดตั้ง Post Office and Microfinance Bank เพื่อนำเงินทุนหมุนเวียนเข้าสู่กลุ่มฐานรากและ SME ทั่วประเทศ จะพัฒนาประเทศให้เป็น Financial Center โดยสร้างศูนย์กลางทางการเงินระดับภูมิภาคให้สามารถรองรับการระดมเงินทุนจากต่างประเทศ โดยเฉพาะเงินทุนจากกลุ่มจีน ซาอุดีอาระเบีย และตะวันออกกลาง ซึ่งจะต้องออกกฎหมายพิเศษรองรับ ให้สิทธิพิเศษทางการค้า ทางภาษี การนำเข้าบุคลากร เชื่อว่าจะสามารถดึงดูดเม็ดเงินจำนวนมหาศาลเข้าประเทศได้
รวมถึงสนับสนุนการระดมทุนขนาดใหญ่ Infrastructure Fund จากระบบเงินฝากในสถาบันการเงิน ปัจจุบันมีกว่า 18 ล้านล้านบาท ซึ่งคิดเป็นเงินที่ล้นระบบอยู่ไม่ต่ำกว่า 30% หากนำออกมาเพียง 10% สามารถนำไปใช้ลงทุนปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ได้ พร้อมกับสนับสนุนการร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (PPP) ให้กระจายในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ให้สิทธิพิเศษจาก BOI เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการท้องถิ่นมีส่วนรวมในการผลักดันโครงการที่เป็นประโยชน์ต่อท้องถิ่นนั้นๆ ได้
ม.ร.ว. ศศิพฤนท์ กล่าวอีกว่า ในส่วนโครงการธนาคารหมู่บ้านและชุมชน ที่จะกระจายลงไปใน 8 หมื่นหมู่บ้าน/ชุมชนละ 2 ล้านบาท นำไปปล่อยกู้กับคนในชุมชนเพื่อนำไปทำทุนค้าขาย โดยไม่ต้องมีหลักประกันนั้น จะเป็นการปฏิรูประบบสถาบันการเงินในประเทศไทย ซึ่งจะทำให้ส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้แคบลง คนที่นำเงินไปฝากจะได้ดอกเบี้ยมากกว่าธนาคารพาณิชย์ ส่วนคนที่กู้เงินก็สามารถกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่า โดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น Application ซึ่งการทำงานจะไม่เหมือนกับธนาคารพาณิชย์ เป็น Database ของแต่ละชุมชน สร้างเครือข่ายที่เชื่อมต่อกัน ซึ่งจะเป็นนวัตกรรมทางการเงินที่จะทำให้ฐานการเงิน การคลังเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่ ทั้งนี้นอกจากการช่วยเหลือทั้งการเงินและโอกาสการเข้าถึงแหล่งทุนในอนาคต และโนฮาวในการทำธุรกิจแล้ว พรรคประชาธิปัตย์จะนำกลไกตลาดเงินมาแก้ไขปัญหาหนี้เสียให้กับพี่น้องเกษตรกร ซึ่งปัจจุบันมีเกษตรกรที่เป็นหนี้สินจากการกู้ยืมเงินกับ ธ.ก.ส. และไม่สามารถบริหารจนกลายเป็นหนี้เสียจำนวนมาก โดยพรรคประชาธิปัตย์จะเสนอให้ตั้งบรรษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) เฉพาะสำหรับเกษตรกรไทย ซึ่งขั้นตอนการดำเนินการคือซื้อหนี้เสียออกมาจาก ธ.ก.ส. เพื่อนำหนี้เสียของเกษตรกรมาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ใหม่ เช่นเดียวกับหนี้เสียของผู้ประกอบการรายย่อย SME และกลุ่ม Start Up ก็จะใช้โครงสร้างและหลักการเดียวกัน