ขออนุญาตนำความเห็นของ ดร.วิรไท สันติประภพ อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ ที่โพสต์ผ่านเฟซบุ๊ก ขอสามคำสำหรับการประเมินนโยบายเศรษฐกิจพรรคการเมือง ที่ถูกถามมากเป็นพิเศษคือชอบนโยบายเศรษฐกิจของพรรคไหนบ้าง “คำตอบคือ ยังไม่ตัดสินใจ เพราะไม่ค่อยเห็นข้อเสนอนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองต่างๆแบบภาพรวม จะเห็นแต่การนำเสนอมาตรการประเภทสัญญาว่าจะให้ เพื่อเอาใจฐานเสียงกลุ่มต่างๆ หรือไม่มีลักษณะเป็น wish list เป็นแบบเบี้ยหัวแตกมากกว่าที่จะบอกว่าเป้าหมาย หรือทิศทางเศรษฐกิจไทยจะก้าวต่อไปอย่างไร”

ข้อเสนอ นโยบายเศรษฐกิจควรต้องผ่านการกลั่นกรองมาอย่างดี ผ่านการจัดลำดับความสำคัญ ชั่งน้ำหนักข้อดีข้อเสียและผลข้างเคียงที่จะเกิดขึ้น เพราะปัญหาแต่ละเรื่องมีความเร่งด่วนและความรุนแรงไม่เท่ากัน หลายเรื่องที่ถูกต้องและจำเป็นสำหรับอนาคต ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะถูกใจฐานเสียงเสมอไป

ท่ามกลางความหลากหลายปัญหาระบบเศรษฐกิจไทยที่เผชิญอยู่ในเวลานี้และในอนาคต นโยบายเศรษฐกิจจะต้องให้ความสำคัญสามคำคือ productivity หรือ ผลิตภาพ immunity คือ การสร้างภูมิคุ้มกัน และ incusivity คือ การกระจายผลประโยชน์อย่างทั่วถึง ทั้งสามเรื่องเป็นปัญหาใหม่ของระบบเศรษฐกิจและมีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้น

พร้อมกันนี้ได้ยกตัวอย่างเรื่องของสังคมผู้สูงอายุที่จะเป็นปัญหาในระยะยาว การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน ต้องใช้เทคโนโลยี ภาคการเกษตร การศึกษา ภาครัฐต้องพลิกโฉมครั้งใหญ่ และจริงจัง ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในระยะยาว รวมไปถึงการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับระบบเศรษฐกิจเพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคต เพิ่มศักยภาพการจัดหารายได้ภาครัฐ ลดหนี้ให้กับคนไทยอย่างยั่งยืน การเสริมสร้างสุขภาพให้คนไทยมีสุขภาพที่แข็งแรง

แก้ปัญหา ความเหลื่อมล้ำในระบบเศรษฐกิจไทย ด้านทรัพย์สิน ด้านรายได้ และด้านโอกาส ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมจะต้องมีการกระจายผลประโยชน์อย่างทั่วถึงและอยู่บนหลักของการแข่งขันอย่างเป็นธรรม องค์กรที่ทำหน้าที่กำกับดูแลหลายแห่งขาดความเข้มแข็งหรือถูกแทรกแซง ไม่กล้าทำเรื่องที่ถูกต้อง เพราะเกรงว่าจะไปกระทบกับกลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่อาจจะเชื่อมโยงกับการเมือง

...

มาขมวดตอนจบว่า การพลิกโฉม หรือ transform ระบบเศรษฐกิจไทย ได้นั้น จะต้องใช้ความมุ่งมั่น ความตั้งใจและพลังของท่านนายกรัฐมนตรี

ความเห็นของ อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ ถูกทุกข้อ เข้าใจสภาพและปัญหาของเศรษฐกิจประเทศ เข้าใจการเมืองไทยพอสมควร ที่นอกจากจะใช้นโยบายจูงใจแล้วยังผสมการตลาดเรียกร้องความสนใจแบบขาดความรับผิดชอบ

แต่ยังเข้าไม่ถึงวัฒนธรรมการเมืองไทยและสังคมไทยที่ไม่ชอบความยุ่งยากซับซ้อน ชอบอะไรที่ง่ายๆ สำเร็จรูป และมองผลลัพธ์เชิงเดียวคือได้อะไร ไม่ได้มองว่าจะเสียอะไร วันนี้คนไทยมีปัญหาใหญ่คือหนี้สิน มีเจ้าหนี้อยู่ 2 คนคือเจ้าหนี้นอกระบบและเจ้าหนี้แบงก์รัฐ ธ.ก.ส. ออมสิน กรุงไทย กู้เงินนอกระบบมาใช้แบงก์รัฐ กู้หนี้แบงก์รัฐไปใช้หนี้นอกระบบวนเวียนอยู่แบบนี้ จบที่สามคำคือ โง่ จน เจ็บต่อให้สร้างถนนไปดวงจันทร์ได้สำเร็จก็ยังแก้ไม่ได้.

หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th