“พีระพันธุ์” สั่งตั้งคณะกรรมการ ร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริงแก้ปัญหาที่ดินม่อนแจ่มใหม่ทั้งหมด หลังชาวบ้านร้องเรียน “กรมป่าไม้” ปฏิบัติตามมติ ครม.ล่าช้า นานกว่า 23 ปี ขณะที่กรมป่าไม้ อ้าง ชาวบ้านไม่ปฏิบัติตามกฎ ทำให้เกิดปัญหายืดเยื้อ

วันที่ 14 มี.ค. นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะกรรมการอำนวยความเป็นธรรมและเร่งรัดการปฏิบัติราชการ ตามดำริของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมแก้ปัญหาตามข้อร้องเรียนของชาวไทยภูเขาเผ่าพื้นเมืองม่อนแจ่ม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ร้องขอความเป็นธรรม กรณีการจัดการที่ดินทำกิน และขอให้พิจารณาสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2542

สืบเนื่องจากชาวบ้านหมู่ 4, 7 และ 11 ต.แม่แรม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เป็นราษฎรชาวเขาเผ่าพื้นเมืองที่มาตั้งรกรากอาศัยอยู่ในพื้นที่ตั้งแต่ ปี พ.ศ.2449 ต่อมาเมื่อชุมชนมีการพัฒนาเจริญขึ้นเป็นชุมชนใหญ่ ได้มีการจัดตั้งเป็นหมู่บ้านตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทย ชาวบ้านทำมาหากินเรื่อยมา แต่ต่อมาได้เกิดข้อพิพาทในเรื่องที่ดินกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง และได้มีการเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ไขปัญหา จนเป็นที่มาของมติ ครม. เมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2542 ที่เห็นชอบตามข้อเสนอของคณะกรรมการช่วยเหลือประชาชน กระทรวงมหาดไทย เพื่อให้แก้ปัญหาที่ดินให้กับชาวบ้าน แต่จนถึงขณะนี้ยังไม่ได้มีการปฏิบัติตามมติ ครม.ดังกล่าว จึงอยากให้เร่งรัดขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการต่างๆ โดยเร็ว

...

ทั้งนี้ ในการประชุม นายพีระพันธุ์ ได้สอบถามปัญหาและอุปสรรคจากกรมป่าไม้ ซึ่งเป็นหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรงต่อปัญหาดังกล่าว ซึ่งได้รับรายงานว่า ปัญหาหลักที่กรมป่าไม้ยังไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ เนื่องจากพบว่าการใช้พื้นที่ของราษฎรบางกลุ่มผิดเงื่อนไข และกฎหมายการใช้ที่ดินในพื้นที่ลุ่มน้ำเอ 1 โดยพบว่าไม่ได้ใช้ที่ดินเพื่อทำเกษตรกรรมในการทำมาหากิน หรือในกรณีของการทำที่พักเพื่อการท่องเที่ยวก็มีการก่อสร้างเป็นรีสอร์ต หรือโรงแรมขนาดใหญ่ ทำให้ที่ผ่านมากรมป่าไม้ไม่สามารถเจรจากับราษฎรได้

อย่างไรก็ตาม หลังได้รับทราบข้อมูลจากทั้งสองฝ่ายแล้ว นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า เนื่องจากปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นมานานแล้ว และปัจจุบันพื้นที่เปลี่ยนแปลงไปมาก อาจจะไม่สามารถใช้ข้อมูลเก่าๆ มาใช้ในการพิจารณาแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบันได้ ดังนั้นในแนวทางแก้ปัญหาเห็นว่า ควรจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาใหม่หนึ่งชุดประกอบไปด้วยหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ตัวแทนราษฎรในพื้นที่เกิดปัญหา และตัวแทนหน่วยราชการอื่นๆ เพื่อเริ่มต้นการทำงานตรวจสอบข้อเท็จจริงใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง หากพบว่าจุดใดผิดกฎหมาย และไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์การใช้พื้นที่ของกรมป่าไม้ ก็ต้องแก้ไขดำเนินการให้ถูกต้อง ในขณะที่กรมป่าไม้เอง ก็จะต้องพิจารณาข้อมูลปัจจุบัน และจะต้องมาประชุมตกลงร่วมกัน เพื่อให้ได้ข้อสรุปที่พอใจทั้งสองฝ่าย และหากจำเป็นที่จะต้องเสนอแก้ไขมติ ครม. เพื่อให้สอดคล้องกับการแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ปัจจุบัน ก็ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเสนอขึ้นมา เพื่อนำไปใช้ในการแก้ปัญหาได้จริง

“มติ ครม.ไม่ใช่กฎหมาย เพราะฉะนั้นการไม่ปฏิบัติตาม ไม่ได้ผิดกฎหมาย แต่ผิดวินัย มติ ครม.เป็นสิ่งที่ปรับปรุงแก้ไขได้ วันนี้หากเห็นว่ามีสถานการณ์จำเป็นที่ มติ ครม.เมื่อปี 2542 ไม่สอดคล้องกับประเด็นปัญหาแล้ว จะต้องปรับปรุงแก้ไข หน่วยงานต้นสังกัดก็ควรจะนำเรื่องเสนอเข้าคณะรัฐมนตรี เพื่อขอแก้ไขมติคณะรัฐมนตรี เพื่อให้ปฏิบัติได้ เราอย่าเอาเหตุการณ์เมื่อ 20 กว่าปีมาแก้ไขปัจจุบัน เป็นไปไม่ได้ เพราะสภาพสังคมเปลี่ยน พื้นที่เปลี่ยนหมด แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนคือ ทุกคนต้องการที่ทำกิน ขณะเดียวกันรัฐเองก็ดูแลทรัพยากรของชาติ ดังนั้นทุกอย่างจะต้องไปด้วยกันได้ จึงอยากให้มาร่วมกันหาทางออกดีกว่าจะมาขัดแย้งกัน” นายพีระพันธุ์ กล่าว...