วันศุกร์ที่ผ่านมา คุณดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสำนักงานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) แถลงตัวเลข เศรษฐกิจไทยในปี 2565 ระบุว่า เศรษฐกิจไทยปี 2565 มีการขยายตัว เพิ่มขึ้น 2.6% จาก 1.5% ในปี 2564 โดยให้เหตุผลว่า เศรษฐกิจไตร มาส 4 ปี 2565 (ตุลาคม-ธันวาคม) มีการขยายตัวเพียง 1.4% ชะลอตัว ลงจากไตรมาส 3 ซึ่งมีการขยายตัว 4.6% ทั้งที่ไตรมาส 4 เป็นช่วง ไฮซีซันของเศรษฐกิจไทย มีเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ มีการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวแล้ว แต่เศรษฐกิจไทยก็ยังขยายตัวได้ตํ่ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน เราแพ้ ลาว กัมพูชา เวียดนาม
นี่คือผลงาน 4 ปีของรัฐบาลที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี
ถ้าย้อนกลับไปดูผลงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วง 4 ปี ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี จะยิ่งเห็นชัดเจนถึงความไร้ประสิทธิภาพในการบริหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่เพียงไม่สามารถทำให้คนไทยหลุดพ้นจากความยากจน ก้าวพ้นจากประเทศ “กับดักรายได้ปานกลาง” middle income trap ที่ไทยติดหล่มมานานถึง 35 ปีแล้ว แต่ยังทำให้รายได้ต่อหัวของคนไทยลดลง ทำให้คนไทยจนลง ทั้งที่ค่าครองชีพแพงขึ้นทุกปี ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมลํ้า สูงลิ่วในสังคม รวยกระจุกจนกระจาย มีแต่ มหาเศรษฐีไม่กี่สิบตระกูล นักการเมือง ข้าราชการคอร์รัปชัน รวยล้นฟ้าไปตามๆกัน
จีดีพีปี 2562 ปีแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯในรัฐบาลเลือกตั้งก่อนเกิดโควิดระบาด อยู่ที่ 2.8% ถือว่าตํ่ามากเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจประเทศและจีดีพีประเทศเพื่อนบ้าน ปี 2563 เกิดโควิดระบาดจีดีพีติดลบไปถึง -6.1% ปี 2564 เศรษฐกิจเริ่มฟื้นแต่จีดีพีก็ขยายตัวเพียง 1.5% และ ปี 2565 เปิดประเทศแล้ว นักท่องเที่ยวเข้ามาแล้ว จีดีพีก็ขยายตัวตํ่าเพียง 2.6% แพ้ประเทศเพื่อนบ้านหลายเท่าตัว แถมยังมีข่าวคราวคอร์รัปชันมากมาย
...
สรุป 4 ปีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี จีดีพีโดยรวมขยายตัวเพียง 0.8% เท่านั้น สวนทางกับค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นไปไม่รู้กี่เท่าตัว ส่งผลให้มีคนจนเพิ่มขึ้นจาก 4.3 ล้านคน ในปี 2562 (ตามรายงานของสภาพัฒน์) เป็น 13.5 ล้านคน ในปี 2564 และเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคน ในปี 2565
ไปดูจีดีพีของประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนปี 2565 กันบ้าง สภาพัฒน์ นำตัวเลขมาเปรียบเทียบให้ดู สิงคโปร์ ขยายตัว 3.6% อินโดนีเซีย ขยายตัว 5.3% ฟิลิปปินส์ ขยายตัว 7.6% เวียดนาม ขยายตัว 8.0% มาเลเซีย ขยายตัวสูงสุด 8.7% ในขณะที่ ประเทศไทย มีนายกฯคนเดียวมา 8 ปี ขยายตัวเพียง 2.6% และเราก็แพ้ สปป.ลาว และ กัมพูชา ด้วยปี 2565 จีดีพีลาวขยายตัว 4.3% และ จีดีพีกัมพูชาขยายตัว 4.8%
เมื่อดูข้อมูลเชิงลึกจากเอกสารสภาพัฒน์ก็ยิ่งน่าตกใจ รายได้ต่อหัวของคนไทยลดลงไปตํ่าสุด แทนที่จะเพิ่มขึ้นตามจีดีพี ข้อมูลของสภาพัฒน์ระบุว่า รายได้ต่อหัวต่อปีของคนไทย (คิดเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ) ปี 2563 อยู่ที่ 7,200.7 ดอลลาร์ ปี 2564 อยู่ที่ 7,254.1 ดอลลาร์ ปี 2565 อยู่ที่ 7,089.7 ดอลลาร์ ลดลงไปถึง 164.4 ดอลลาร์ ถ้าคิดอัตราแลกเปลี่ยน 34.50 บาทต่อดอลลาร์ ก็อยู่ที่ปีละ 244,594.65 บาท ตกเดือนละ 20,382.88 บาท วันละ 679 บาทเท่านั้นเอง เท่ากับค่าแรง ขั้นตํ่าในสหรัฐฯเพียง 1 ชั่วโมงนิดหน่อย
ตอนเข้ามาเป็นนายกฯ 4 ปีที่แล้ว พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศว่าจะนำคนไทยก้าวพ้นจาก “กับดักรายได้ปานกลาง” ไปสู่ “ประเทศที่รํ่ารวยแล้ว” ขายฝันให้คนไทยชื่นชม
แต่ 4 ปีผ่านไปจนถึงวันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ไม่สามารถนำประเทศ ไทยก้าวพ้นจาก “กับดักรายได้ปานกลาง” ไปสู่ “ประเทศที่รํ่ารวย” ได้อย่างที่คุย แถมยังทำให้รายได้ต่อหัวคนไทยลดลงอีกด้วย ประเทศไทยเข้าสู่ “ประเทศรายได้ปานกลาง” มาตั้งแต่ปี 2530 จนถึงวันนี้ 35 ปีแล้ว ก็ยังไม่ขยับไปไหน ไม่รู้อีกกี่ชาติคนไทยจึงจะก้าวพ้นความ ยากจน ถ้ายังยอมให้ลุงๆมาเป็นผู้นำประเทศ ถึงเวลาที่คนไทยต้องคิดใหม่เพื่ออนาคตที่ดีกว่าแล้ว.
“ลม เปลี่ยนทิศ”