ธุรกิจสีเทาที่มีต่างชาติเกี่ยวข้อง ยังเป็นข่าวเป็นระยะๆ ล่าสุด กรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ตรวจสอบนิติบุคคลไทยที่มีคนต่างด้าวร่วมถือหุ้น โดยเน้นธุรกิจ 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มการท่องเที่ยว กลุ่มธุรกิจการค้าที่ดิน และกลุ่มธุรกิจบริการ ระหว่างปี 2564-2565 พบนิติบุคคลที่อาจกระทำความผิด โดยเป็นนอมินี 148 ราย
กรมพัฒนาธุรกิจการค้าจะมอบข้อมูลให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ เพื่อดำเนินการสืบสวนสอบสวนต่อไป และเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ศาลเมืองพัทยาได้ออกหมายจับผู้ต้องหาซึ่งเป็นชาวจีน 2 คน ในข้อหาลักพาตัวเพื่อนนักธุรกิจร่วมชาติ ไปเรียกค่าไถ่ 35 ล้านบาท เป็นธุรกิจสีเทาจีนอีกกรณีหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักธุรกิจอาบอบนวด และอดีตนักการเมืองชื่อดัง ก็ได้ออกมาเปิดโปงกลุ่มธุรกิจจีนในไทย 5 กลุ่ม ที่เข้ามาใช้ประเทศไทยเป็นที่ตั้งแก๊งอาชญากรรมข้ามชาติ บางกลุ่มรู้จักคุ้นเคยกับนักการเมือง บางคนบริจาคเงินให้ พรรคการเมือง 3 ล้านบาท บางกลุ่มสนิทสนมกับนายตำรวจใหญ่
พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. เปิดเผยว่า ได้เรียกประชุมคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนเกี่ยวกับการลงทุนของชาวจีนในประเทศไทย และการชักนำนำยาเสพติดเข้าไทย ส่วนใหญ่คือ 2 สัญชาติ ส่อแสดงว่าจะเข้ามาทำเรื่องที่ไม่ดี จะออกหมายจับให้หมด ส่วนผู้ที่หลบหนี จะขอหมายจับตำรวจสากล
นักวิชาการบางคนมองว่า เหตุที่ประเทศไทยกลายเป็นที่ตั้งแก๊งมาเฟียจีน เป็นแดนสวรรค์ของเหล่าอาชญากรข้ามชาติ ส่วนหนึ่งเพราะไทยเป็นประเทศเปิด เป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาถึงปีละ 40 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นคนจีน
สาเหตุสำคัญอีกอย่างหนึ่ง แม้ แต่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ก็ยอมรับนั่นก็คืออาชญากรข้ามชาติรอบประเทศ ที่บังคับใช้กฎหมายอ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง ประเทศเพื่อนบ้านของไทยหลายประเทศก็โดนเช่นเดียวกัน ตัวอย่างที่ชัดเจนคือการที่คนจีนเข้าไปตั้งคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชาเพื่อหลอกลวงประชาชน แถมยังหลอกคนไทยไปร่วมด้วย
...
ส่วนประเทศไทย บางคนแสดงความเป็นห่วง บางพื้นที่ของกรุงเทพฯ หรือเมืองท่องเที่ยวใหญ่ๆ อาจถูกชาวจีนยึดครอง ทั้งทำเป็นแหล่งประกอบธุรกิจและที่อยู่อาศัย เช่น ย่านห้วยขวาง หรือรัชดาภิเษก สามารถครอบครองที่ดินได้ โดยไม่ต้องหอบเงินมาลงทุน 40 ล้านบาท ตามนโยบายของรัฐที่ล้มไป.