ขึ้นชื่อว่าเป็นนักวิชาการดีกรีศาสตราจารย์ด้านเศรษฐศาสตร์อีกคน ที่โลดแล่นอยู่บนถนนการเมืองช่วงวิกฤติขัดแย้งทางความคิด ผ่านเก้าอี้รัฐมนตรีระดับว่าการ 2 กระทรวงเกรดเอ
วันนี้ นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีต รมว.คลัง ยืนอยู่วงนอกขยับมุมคิดคัดค้าน ครม.เคาะกฎกระทรวงให้สิทธิต่างชาติศักยภาพสูง 4 กลุ่มถือครองที่ดินได้ไม่เกิน 1 ไร่ ภายใต้เงื่อนไขลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาทอย่างน้อย 3 ปี
หากย้อนดูร่องรอยที่เปิดประตูให้ต่างชาติถือครองที่ดินนับแต่มีประมวลกฎหมายที่ดิน และกฎกระทรวงออกโดยกระทรวงมหาดไทย
เกิดขึ้น ปี 2497 ให้ต่างชาติมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินประเทศไทย เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยไม่เกินคนละ 1 ไร่ ภายใต้เงื่อนไขเฉพาะประเทศที่มีสนธิสัญญากับประเทศไทย
จนถึงเหตุการณ์เริ่มเข้าสู่วิกฤติต้มยำกุ้ง เงินทุนสำรองระหว่างประเทศสุทธิ 33,950 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (30 ธ.ค.39 ค่าเงิน 25.61 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ) โดยทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องท่องคาถาหลายจบย้ำไม่ลอยตัวค่าเงินบาท
สุดท้ายทิ้งไพ่...ลอยตัวค่าเงินบาท ส่งผลให้ค่าเงินบาทลดลงอย่างต่อเนื่องเกือบทุกวัน ไปถึงระดับต่ำสุดแตะที่ 56 บาทต่อ 1 ดอลลาห์สหรัฐฯ
...
ทุนสำรองระหว่างประเทศสุทธิเหลือแค่ 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (30 ส.ค.40 ค่าเงิน 34.33 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ) หลังลอยตัวค่าเงินบาท 2 ก.ค.40
ถึงขั้นนายกฯ ในขณะนั้นแสดงความเป็นสุภาพบุรุษรับผิดชอบคำพูด ลาออกจากตำแหน่ง เพราะผิดคำพูด เดิมระบุว่าไม่ลอยตัวค่าเงินบาท แต่สุดท้ายต้องลอยตัวค่าเงินบาท
รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายที่ดิน ปี 2542 เพื่อเพิ่มกำลังซื้อในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ซบเซา จูงใจต่างชาติเข้ามาลงทุน ให้สิทธิต่างชาติสามารถได้กรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัย ถือครองได้ไม่เกินคนละ 1 ไร่ นำเงินมาลงทุนไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท ต้องลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี
ก่อนคลอดกฎกระทรวงตามมาใน ปี 45 เป็นฝีมือของรัฐบาลอีกชุด เพื่อกำหนดรายละเอียดให้ต่างชาติสามารถมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินประเทศไทย โดยให้รัฐมนตรีใช้ดุลพินิจเป็นรายๆ ไป
“ตอนนี้ไทยมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ 1.8 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงจาก 2.15 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ลำดับที่ 12 ของโลก แม้มีดอลลาร์สหรัฐฯไหลออก ดูภาพรวมก็ไม่น่ากังวล
ค่าเงินบาทแข็งไปเมื่อเทียบกับหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น มาเลเซีย ควรปรับค่าเงินบาทให้อ่อนลงอีกสัก 40 บาทกว่าๆ ต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ
ส่งออกให้มากกว่านำเข้า ส่งออกท่องเที่ยว ยกเลิกค่าเหยียบแผ่นดิน วีซ่าดิจิทัล วางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล หัวใจคือสร้างงานในประเทศ อย่าขายที่ดิน อย่าขายของในบ้านกิน ลดการผูกขาด ไฟฟ้า โทรศัพท์ ค้าปลีก ค้าส่ง น้ำมันแพง”
นายสุชาติ ทัดทานการขายที่ดินของประเทศไทย และเสนอแนวทางการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไปยังรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
โดยชี้ให้เห็นการขายที่ดินย่อมต้องเสียทรัพย์สินไป อย่าไปคิดว่าต่างชาติซื้อที่ดินแล้วจะขนเงินมาลงทุน สร้างรายได้ให้ประเทศ เศรษฐกิจเจริญเติบโต
บ่งบอกถึงหัวหน้าทีมเศรษฐกิจและคนคิดมาตรการนี้ไม่รู้จะพัฒนาเศรษฐกิจอย่างไร คิดออกเพียงไปกู้มาเยอะๆ เอาไปแจก และขายที่ดินกิน
สะท้อนรัฐบาลนี้ไร้กึ๋นด้านเศรษฐกิจ
ระวังประเทศไทยมีโอกาสล่มจม!!
อย่างประเทศสิงคโปร์มีแผ่นดินนิดเดียว ถ้าขายให้ต่างชาติไปตอนนั้น แผ่นดินก็ไม่มีเหลือ แต่ผู้นำของเขาส่งเสริมการศึกษา พัฒนาประเทศจนเศรษฐกิจเติบโตติดอันดับต้นๆของโลก
ขอยกอีกสักตัวอย่างสมัยก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 มี 8 ประเทศยุโรปไปเช่าที่ดินในประเทศจีนหลาย มณฑล เห็นชัดเจนที่ปักกิ่ง เซี่ยงไฮ้ เปิดให้เช่าได้คนละ 1 ไร่ แต่มีการเช่ายาวนานติดต่อกันหลายไร่
เกิดสิทธิสภาพนอกอาณาเขต
ติดป้ายห้ามคนจีนและสุนัขเข้า ผู้นำจีนและคนจีนเจ็บปวดใจมาก ต้องยอมรับว่าสภาพของจีน ยุคนั้นล้าหลัง แต่ยุโรปเจริญรุ่งเรือง
ขอฉายภาพให้เห็นอีกมุมที่สีหนุวิลล์ ประเทศกัมพูชา มีชนชาติใหญ่ไปยึดหมด ประเทศลาวก็เช่นเดียวกันที่เกิดขึ้นคล้ายในกัมพูชา อีกหลายประเทศในทวีปแอฟริกาก็เกิดสภาพเช่นนี้ บางประเทศผู้นำได้เงินทอนด้วย
ของไทยก็เกิดขึ้นแล้ว แอบครอบครองที่ดินผ่านตัวแทนที่เป็นคนไทย อย่างย่านรัชดา ห้วยขวาง แม้ยังไม่ออกกฎหมายป้ายก็เปลี่ยน ภาษาก็เปลี่ยนเต็มไปหมดแล้ว
ขณะที่หลายฝ่ายก็มองเฉพาะมิติแบบพ่อค้า ขายอย่างเดียว เอาเงินเข้าประเทศ โดยไม่พลิกดูประวัติศาสตร์ด้านการเมือง ความมั่นคง สังคม ที่เกิดปัญหาตามมา
ฉะนั้นขอยกพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว “ใครมาเป็นเจ้าของเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำร่ำไป ตามนิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย”
และอย่าไปเปรียบเทียบกับประเทศที่เจริญรุ่งเรือง ร่ำรวย ซึ่งแตกต่างกับไทยที่ยังไม่ได้พัฒนา ย่อมถูกนายทุนของชาติร่ำรวยเลือกช็อปของถูก ในที่สุดจะใช้พลังอำนาจประเทศแม่มาบังคับ สมัยโบราณยึดโดยการรบ เอาพลเมืองไปเป็นทาส แต่ปัจจุบันเปลี่ยนสภาพการยึดเป็นแบบนี้
ทีมการเมือง ถามว่า การขายที่ดินให้ต่างชาติตามมาตรการนี้ ทำให้ความเหลื่อมล้ำสูงขึ้นอย่างไร
เมื่อโครงสร้างเหลื่อมล้ำถือกรรมสิทธิ์ที่ดินสูงมาก โดยงานวิจัยเรื่องรวยกระจุก จนกระจาย ความเหลื่อมล้ำกับการปฏิรูปภาษีที่ดิน ของอาจารย์ดวงมณี เลาวกุล
ระบุว่ากลุ่มคน 1% ถือครองที่ดินมากเกือบ 23 ล้านไร่ รวมพื้นที่ มากกว่า 7 จังหวัดภาคตะวันออก แต่คนอีก 20% ของกลุ่มถือครองที่ดินน้อยที่สุด ถือครองที่ดินแค่กว่า 2.32 แสนไร่ และคนถือครองที่ดินมากที่สุดมีที่ดิน 631,263 ไร่ ที่ดินแปลงใหญ่ราว จ.ภูเก็ต 2 จังหวัดรวมกัน
นายสุชาติ บอกว่า เรายังอยู่ในยุคขุนศึก ศักดินา นายทุนผูกขาดเป็นรัฐบาล ประชาชนไม่ได้มีอำนาจจริง ระบบการกระจายที่ดินของประเทศไม่ดี ไม่มีกฎหมายกำหนดจำนวนถือครองที่ดิน หากคิดจะทำก็ถูกล็อบบี้
จนถูกมองว่ารัฐบาลเป็นลูกน้องนายทุน
“นายทุนที่มีที่ทางมากๆ อยากให้รัฐบาลคลอดมาตรการนี้ ที่ดินในประเทศไทยราคาจะได้ขยับสูงขึ้น
คนในรัฐบาลระบุว่าเดี๋ยวให้ กฤษฎีกา ดูอีกไม่จริง ดูตามกระบวนการ เสนอมา ตามขั้นตอนจน ครม.เห็นชอบ ถ้าไม่มี ใครทักท้วงก็ประกาศใช้ไปแล้ว
ฉะนั้นอย่าเผลอ ระวังถูกหลอกเหมือนกฎกระทรวงเกี่ยวกับสุราพื้นบ้าน ที่คนในรัฐบาลพยายามบอกให้เห็นว่าหลังผ่าน ครม.แล้วต้องให้กฤษฎีกาดูอีก สุดท้ายค่ำคืนวันนั้นประกาศบังคับใช้ทันที”
ดูทิศทางสายล้มต้านรัฐบาล หากไม่ถอยกฎหมายขายชาติมีโอกาสพบจุดจบแพ้แบบแลนด์สไลด์อย่างไร นายสุชาติ บอกว่าพรรคไหนมีกระแส ก็สั่งยุบพรรคเดือน ก.พ.-มี.ค.66 เสี่ยงที่พรรคดังๆ หรือพรรคที่พูดมากจะถูกยุบ
แม้ลงสมัครหาเสียงก็ยังเสี่ยงถูกยุบ เหมือนพรรคไทยรักษาชาติ พอเลือกตั้งเสร็จมีเสียงเท่ากันทั้ง 2 ขั้วการเมือง ก็ยุบพรรคอนาคตใหม่
ไม่มีประเทศไหนที่เป็นประชาธิปไตยในโลกถูกยุบพรรค ขอเตือนพรรคการเมืองให้ระวังตัวกันบ้าง มีโอกาสถูกยุบ 2-3 พรรค ยังไม่นับรวมที่นายกฯ จะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ เกิน 8 ปี โดยแก้ไขรัฐธรรมนูญ โหวต 3 วาระรวด
ฉะนั้นกฎหมายฉบับนี้ไม่มีผลกระทบต่อการเลือกตั้ง เพราะเขายังมีเทคนิคชนะการเลือกตั้ง แม้ปมนี้เป็นการออกมาแทงตัวเอง แต่ตอนออกเขาไม่รู้ว่ากำลังชักมีดแทงตัวเอง เพราะมาตรการนี้คนไทยไม่เอา เป็นเรื่องที่ใหญ่มาก
ถ้าผมเป็นนายกฯ จะออกมาขอโทษประชาชน
ถ้าผมเป็นรัฐบาล จะยกเลิกกฎหมายฉบับนี้
เพราะเป็นสาเหตุทำให้ประเทศชาติล่มจม
สุดท้ายเชื่อว่ารัฐบาลคงถอยแบบมีชั้นเชิง.
ทีมการเมือง