ประเทศไทยเตรียมตัวที่จะเข้าสู่การรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในรูปแบบของการเฝ้าระวัง ไม่ใช่โรคระบาดร้ายแรงอีกต่อไป ซึ่งจะมีผลต่อการเข้าถึงการรักษาพยาบาลและการเข้ารับวัคซีนโควิดเข็มกระตุ้นด้วย แม้จะมีบัตรทองหรือระบบการประกันสังคมคอยรองรับให้เหมือนกับโรคทั่วไป แต่เนื่องจากที่ผ่านมา โควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่และเป็นโรคติดต่อ ร้ายแรงจึงยังประมาทไม่ได้

วันที่ 1 ต.ค.เป็นต้นไป ประเทศไทยจะไม่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่ยังมีกฎหมายว่าด้วยการควบคุมโรคติดต่อ ควบคุมฝูงชน ใช้บังคับอย่างเต็มอัตราศึก อ้างเพื่อให้การท่องเที่ยวฟื้นตัวเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศที่กำลังหืดขึ้นคอกลับมาเป็นปกติโดยเร็วที่สุด เนื่องจากที่ผ่านมาเรามีรายได้จากการท่องเที่ยวไม่ต่ำกว่าปีละ 2 ล้านล้านบาท พอโควิดมารายได้จากอุตสาหกรรมการบิน การบริการ การท่องเที่ยว หายไปในพริบตาเดียว

ตามมาด้วยปัญหาการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ปัญหาเงินเฟ้อ ข้าวของแพง ปัญหาการว่างงาน ประกอบกับ ธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นมาอีกร้อยละ 0.75 และมีแนวโน้มว่าปีนี้จะมีการขึ้นดอกเบี้ยอีกไม่ต่ำกว่า 2 รอบ ส่งผลกระทบกับค่าเงินทั่วโลก รวมทั้งค่าเงินบาทของไทยด้วย

37 บาทต่อดอลลาร์ แตะที่ร้อยละ 38 บาทต่อดอลลาร์แล้ว

แม้ ภาครัฐและแบงก์ชาติ จะยังใจดีสู้เสือว่า เป็นผลกระทบในระยะสั้นๆ สามารถที่จะควบคุมได้ มีผลดีกับการส่งออก ยังไม่มีการชั่งน้ำหนักความสมดุลว่า เรามีผลบวกผลลบ อะไรมากกว่ากัน แต่ในแง่จิตวิทยาการลงทุน ถือว่าอยู่ในช่วงของการเฝ้าระวัง คือยังไม่มั่นใจในภาพรวม

ประเทศอังกฤษ มีแผนการลดภาษีครั้งใหญ่ โดย รมว.คลังอังกฤษ กวาซี กวาร์เทง ระยะหลังคนที่คุมการคลังของอังกฤษ ชื่อจะแปลกๆ เสนอต่อ สภาอังกฤษ ขอให้ตัดลดภาษีครั้งใหญ่ที่สุด ทั้งภาษีรายได้ การยกเลิกการนำเงินเข้ากองทุนประกันสังคม ยกเว้นภาษีสำหรับผู้ซื้อบ้านราคาไม่เกิน 250,000 ปอนด์ หรือ 10 ล้านบาท จากเดิมที่ 125,000 ปอนด์ หรือ 5 ล้านบาท ขณะที่บ้านหลังแรกราคาไม่เกิน 425,000 ปอนด์ หรือ 17 ล้านบาท ได้รับการยกเว้นภาษีจากเดิมที่ราคา 300,000 ปอนด์

...

อังกฤษ ยังยกเลิกแผนการขึ้น ภาษีสรรพสามิตที่เก็บจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ระงับการขึ้นค่าพลังงาน ที่คาดว่าจะช่วยลดเงินเฟ้อ ได้ 5% และคาดจะ กระตุ้นการท่องเที่ยว จากการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้กับนักท่องเที่ยว คำนวณดูแล้วน่าจะได้มากกว่าเสีย

สถานการณ์โลกประมาทอะไรไม่ได้เลย อ้างคำพูดของ สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน ในที่ประชุมว่าด้วยการป้องกันประเทศและการปฏิรูปกองทัพ เตรียมพร้อมสำหรับสงคราม บวกกับสถานการณ์ในรัสเซียที่ ประธานาธิบดี ปูติน สั่งระดมกำลังทหารเกณฑ์อีก 3 แสน และเตรียมพร้อมอาวุธนิวเคลียร์ เพื่อเผด็จศึก สงครามรัสเซีย-ยูเครน ให้ได้ พอจะสรุปได้ว่า สถานการณ์ความมั่นคงและเศรษฐกิจโลก ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น การบริหารประเทศจึงไม่ใช่สนามเด็กเล่นของมือสมัครเล่นอีกต่อไป.

หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th