“รสนา” ยื่นหนังสือถึง “วิรัตน์ มีนชัยนันท์” ระบุชัด ไม่ควรรับโอนหนี้ BTS ส่วนต่อขยายที่ 2 มาเป็นของ กทม. ชี้ อยู่นอกพื้นที่ ไม่เช่นนั้น ประชาชนต้องจ่ายค่าโดยสารแพงไปอีก 30 ปี

วันนี้ (14 ก.ย. 2565) นายวิรัตน์ มีนชัยนันท์ ประธานสภากรุงเทพมหานคร กล่าวถึงกรณีที่ นางสาวรสนา โตสิตระกูล อดีตสมาชิกวุฒิสภากรุงเทพมหานคร และอดีตผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เข้ายื่นหนังสือถึงประธานสภากรุงเทพมหานคร ขอให้สภา กทม. มีมติไม่เห็นชอบรับโอนทรัพย์สินและหนี้สินรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายที่ 2 มาเป็นหนี้ของ กทม. ว่า ประเด็นสำคัญของการยื่นหนังสือของนางสาวรสนา มีความสอดคล้องกับแนวทางของสภา กทม.ชุดปัจจุบัน ซึ่งตนเองเคยให้ความเห็นเรื่องการบริหารจัดการรถไฟฟ้าและปัญหาหนี้สินต่างๆ ว่า เรื่องดังกล่าวไม่ได้อยู่ในอำนาจที่สภา กทม. จะต้องพิจารณา เนื่องจากสภา กทม.ชุดเก่า มีมติเห็นชอบให้อำนาจผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ว่าฯ กทม.) พิจารณากำหนดอัตราค่าโดยสารไปแล้ว รวมทั้งมีมติให้กรุงเทพมหานครเลือกดำเนินการ 3 แนวทาง คือ

1. ให้ใช้ พ.ร.บ.ร่วมทุน
2. ให้ดำเนินการในลักษณะสัมปทาน
3. ให้ส่งคืนโครงการแก่รัฐบาล

วิรัตน์ มีนชัยนันท์ ประธานสภากรุงเทพมหานคร
วิรัตน์ มีนชัยนันท์ ประธานสภากรุงเทพมหานคร

...

ทางด้าน นางสาวรสนา กล่าวว่า การยื่นหนังสือในวันนี้เพื่อขอให้สภา กทม. และสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (ส.ก.) ทั้ง 50 เขต มีมติไม่รับโอนทรัพย์สินและหนี้สินรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยายที่ 2 แบริ่งถึงสมุทรปราการ และหมอชิตถึงคูคต ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้อยู่นอกพื้นที่ กทม. การที่รัฐบาลสั่งโอนส่วนต่อขยายที่ 2 มาให้ กทม. โดยไม่มีงบประมาณสนับสนุน ทั้งที่ก่อนการก่อสร้างส่วนต่อขยายที่ 2 มีการประเมินไว้ชัดเจนว่าส่วนต่อขยายดังกล่าวขาดทุนในเชิงธุรกิจ แต่เป็นผลดีในเชิงเศรษฐกิจ เนื่องจากประชาชนจากต่างจังหวัดสามารถเดินทางมาเข้ามาในกรุงเทพฯ ได้สะดวกขึ้น

ดังนั้น รัฐจำเป็นต้องสนับสนุนงบประมาณ แต่กลายเป็นการยกทรัพย์สินและหนี้สินทั้งในส่วนค่าก่อสร้างและการเดินรถมาให้ กทม. โดยที่ผ่านมาผู้ว่าฯ กทม. ได้มอบให้บริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด (KT) ไปทำสัญญากับบริษัทระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (BTS) โดยไม่ใช่ตัวแทนของ กทม. การที่ KT ไปทำสัญญากับ BTS เป็นสิ่งที่สภา กทม.ในอดีตยังไม่มีการเห็นชอบ แต่มีการทำสัญญาเดินรถไปก่อน จึงเกิดภาระผูกพันขึ้นมา

สำหรับหนังสือร้องเรียนของ นางสาวรสนา ระบุว่า หากที่ประชุมสภา กทม. มีมติเห็นชอบการรับหนี้ดังกล่าว ซึ่งยังไม่ใช่หนี้ของ กทม. และยังเป็นเส้นทางคาบเกี่ยว จ.สมุทรปราการ และ จ.ปทุมธานี ส.ก. ทั้ง 50 เขต จะมีความผิดตามมาตรา 157 ฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ เพราะภาระหนี้ไม่ควรเป็นของ กทม. ในฐานะที่เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่มีหน้าที่ดูแลเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ เท่านั้น การรับโอนหนี้มาเป็นหนี้ของ กทม. จะไม่เกิดประโยชน์ เพราะเป็นกลอุบายเพื่อต่อสัญญาสัมปทานสายสีเขียวส่วนหลักไปอีก 30 ปี ตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กลายเป็นภาระของคนกทม. ที่จะต้องจ่ายค่ารถโดยสารแพงไปอีก 30 ปี แทนที่จะจ่ายในราคาถูกลง เพราะเมื่อถึงปี 2572 สัญญาเดินรถจะสิ้นสุดสัมปทาน และจะกลับคืนเป็นของ กทม. จึงไม่มีต้นทุนค่าโครงสร้าง ระบบรางเหลือเพียงค่าจ้างเดินรถและค่าบำรุงรักษาเท่านั้น

อีกทั้งเรื่องดังกล่าวต้องแก้ไข แต่ไม่ใช่ดึงเข้ามาอยู่ในความรับผิดชอบของ กทม. และนางสาวรสนา ยังมองว่าเป็นกลอุบายในการขยายสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนหลัก เนื่องจาก กทม. ไม่มีความสามารถในการรับผิดชอบค่าเดินรถ และค่าก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายที่ 2 อย่างแน่นอน และเมื่อไม่มีความสามารถในการชำระหนี้จึงจำเป็นต้องขยายสัมปทานการเดินรถไฟฟ้าส่วนหลัก ซึ่งกำลังจะหมดสัญญาในปี 2572 ออกไปอีก 30 ปี แลกกับการจ่ายหนี้ ตรงนี้จะทำให้ประชาชนเสียประโยชน์ เพราะเมื่อครบสัญญาในปี 2572 รถไฟฟ้าส่วนหลักจากหมอชิตถึงอ่อนนุช จะต้องเป็นของ กทม. แต่หากมีการขยายสัมปทานต่ออีก 30 ปี เพื่อแลกกับหนี้ที่ถูกโยนมาจากส่วนต่อขยายที่ 2 ประชาชนต้องจ่ายค่าโดยสารแพงไปอีก 30 ปี จึงอยากให้สภา กทม. มีมติไม่รับโอนหนี้ดังกล่าว.