“จิราพร” ส่งหนังสือเตือน “พล.อ.ประยุทธ์” พร้อม ครม.มีพฤติกรรม “กรุยทาง” เอื้อ “คิงส์เกต” ได้สิทธิ BOI ไม่ต้องเสียภาษีทำธุรกิจ หวั่นเงินเข้าคลังแผ่นดินสูญนับหมื่นล้าน เตรียมหาคนรับผิดชอบ

วันที่ 22 สิงหาคม 2565 นางสาวจิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ดและกรรมการบริหาร พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ในวันนี้จะส่งหนังสือถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะ เพื่อบอกกล่าวถึงผลของการไม่ระงับยับยั้งความเสียหายจากการใช้มาตรา 44 ปิดกิจการเหมืองแร่ทองคำ เพื่อให้ใช้โอกาสในการประชุมคณะรัฐมนตรีในวันพรุ่งนี้ ซึ่งอาจเป็นนัดสุดท้ายในการระงับยับยั้งความเสียหายจากคดีเหมืองทองอัครา ก่อนที่ศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินวาระการดำรงตำแหน่ง 8 ปี ของพลเอกประยุทธ์

หนังสือฉบับนี้จะเป็นผลโดยตรงกับพลเอกประยุทธ์ หากรับหนังสือแล้วยังกระทำความผิด ละเลย เพิกเฉย คณะรัฐมนตรีจะมีส่วนในความรับผิดตามมาตรา 158 วรรค 1 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และจะเป็นหลักฐานสำคัญอีกชิ้นที่องค์กรอิสระจะนำไปพิจารณาเมื่อมีการฟ้องร้องต่อไป

ทั้งนี้ การปิดเหมืองแร่ทองคำโดยลุแก่อำนาจทำให้หลายคนตกงานกว่า 5 ปี ภาพลักษณ์ประเทศเสียหาย ต้องนำเงินภาษีแผ่นดินกว่า 731 ล้านบาท ไปต่อสู้คดี เมื่อรัฐบาลไทยทราบว่าสุ่มเสี่ยงที่จะแพ้คดี จึงเริ่มมีการเจรจาประนีประนอมยอมความ มีข้อเสนอของคิงส์เกตทั้งหมด 11 ข้อ ซึ่งมีบางข้อที่ไทยได้ดำเนินการให้กับคิงส์เกตเรียบร้อยแล้ว ได้แก่

1.ไทยอนุมัติประทานบัตรเหมืองแร่ 4 แปลงในวันที่ 19 มกราคม 2566 เพื่อเปิดทางให้บริษัทอัคราฯ กลับมาเปิดเหมืองแร่ชาตรีที่ยุติการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2560 ได้

2.ไทยอนุมัติอาชญาบัตรสำรวจแร่ทองคำจำนวน 44 แปลง เนื้อที่ทั้งหมด 397,226 ไร่ให้บริษัทคิงส์เกตฯ ที่เคยขอไว้ตั้งแต่ปี 2546 และไม่เคยได้รับการอนุมัติ แต่เมื่อมีคดีกับบริษัทคิงส์เกตฯ และคดียังไม่ถึงที่สุดกลับอนุมัติทันที และยังเหลืออีกราว 600,000 ไร่ ที่รอการอนุมัติเพิ่มเติม

...

3.ล่าสุด คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2565 ให้ความเห็นชอบเรื่อง นโยบายด้านอุตสาหกรรมเหมืองแร่และอุตสาหกรรมต่อเนื่องระยะแรก โดยสั่งให้ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI), ก.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, ก.อุตสาหกรรม และ ก.การอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม ร่วมกันพิจารณา “ปรับปรุงมาตรการส่งเสริมการลงทุนสำหรับอุตสาหกรรมเหมืองแร่และอุตสาหกรรมต่อเนื่อง” ด้วยการกำหนดสิทธิประโยชน์ให้เหมาะสมกับการฟื้นฟูอุตสาหกรรมเหมืองแร่ในประเทศอีกครั้ง ซึ่งอาจเป็นการเข้าข่ายเตรียมการเปิดทางให้กับบริษัทอัคราฯ สามารถขอรับการสนับสนุนจาก BOI และการลดหย่อนภาษีได้ ตามข้อเรียกร้องของคิงส์เกต ข้อที่ 4 หรือไม่ โดยข้อเรียกร้องของคิงส์เกตคือ

ขอสิทธิส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ที่หมดสิทธิ์ได้รับการยกเว้นภาษีเท่ากับมูลค่าการลงทุนในปี 2563 ไปแล้ว ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้เคยให้ความเห็นว่าการขอขยายระยะเวลาการส่งเสริมการลงทุนให้ครอบคลุมระยะเวลาที่ถูกระงับการประกอบกิจการไม่สามารถดำเนินการได้ อีกทั้งกิจการเหมืองแร่ทองคำไม่ได้อยู่ในรายการส่งเสริมการลงทุน (ในกรณีขอยื่นสิทธิส่งเสริมการลงทุนใหม่)

นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรียังจะมีมติให้กิจการเหมืองแร่ที่ไม่ได้อยู่ในรายการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI กลับมารับการสนับสนุนสิทธิประโยชน์ได้ ซึ่งย้อนแย้งกับประกาศของกระทรวงอุตสาหกรรม ตาม พ.ร.บ.แร่ ปี 2560 ที่กำหนดให้ต้องจัดทำ “กรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคำ”

โดยกำหนดวิธีการบริหารจัดการเพื่อการพัฒนาแหล่งแร่ทองคำไว้ว่า “ไม่มีการให้สิทธิประโยชน์ด้านส่งเสริมการลงทุนให้กับโครงการทำเหมืองแร่ทองคำด้านภาษีต่างๆ” แต่ ครม.กลับกระทำการขัดกับประกาศกระทรวงเสียเอง แม้การส่งเสริมการลงทุนจะเปิดทางให้เหมืองแร่หลายชนิดขอรับสิทธิประโยชน์ได้ แต่กิจการทำเหมืองแร่ทองคำในประเทศไทยในขณะนี้เหลือเพียงแห่งเดียวที่ยังประกอบกิจการอยู่ คือ บริษัทอัคราฯ เท่ากับว่าการที่คณะรัฐมนตรีมีมติเช่นนี้ เป็นการกรุยทางเอื้อประโยชน์ให้กับอัคราฯ ผูกขาดการทำเหมืองแร่ทองคำในประเทศไทยหรือไม่ หากกระทำการสำเร็จอาจทำให้ไทยสูญเสียเงินภาษีซึ่งเป็นรายได้แผ่นดินนับหมื่นล้านบาท

นางสาวจิราพร กล่าวอีกว่า การที่ไทยมีการเจรจาให้สิทธิต่างๆ และผลประโยชน์ของประเทศที่เกินกว่าข้อพิพาทแก่บริษัทคิงส์เกตฯ ไป เพื่อนำไปสู่การถอนฟ้อง เป็นการปัดความรับชอบมาไว้ที่แผ่นดินให้รับผิดแทนพลเอกประยุทธ์ ซึ่งเท่ากับว่าพลเอกประยุทธ์ ได้ยอมรับแล้วว่าการใช้มาตรา 44 เป็นคำสั่งที่ผิดพลาดอย่างร้ายแรงจนทำให้ประเทศไทยต้องก้มหน้าก้มตาคืนสิทธิเดิม เพิ่มเติมด้วยสิทธิประโยชน์ใหม่มากมาย จึงอยากให้พี่น้องประชาชนจับตาดูข้อเสนอของบริษัทคิงส์เกตฯ ที่เหลือ โดยเฉพาะข้อเรียกร้องข้อที่ 8 ซึ่งขอให้ไทยแก้ไขปัญหาทางกฎหมายในท้องถิ่นที่ค้างอยู่ทั้งหมด คือการยุติคดีของบริษัทคิงส์เกตฯ ที่อยู่ใน ป.ป.ช. DIS ปปง. และกองปราบปราม

“หากพลเอกประยุทธ์ มีสามัญสำนึกรับผิดชอบมากพอ ก็ไม่ควรอยู่รอจนถึงวันที่ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยการดำรงตำแหน่งว่า ครบ 8 ปีหรือยัง ถ้ายังพอมีสามัญสำนึกอยู่บ้างก็ควรจะแสดงความรับผิดชอบออกไปตั้งนานแล้ว ไม่ต้องรอทำความเสียหายให้กับประเทศนานขนาดนี้ แต่ถ้าดันทุรังจะอยู่ต่อจนถึงวันที่ลงจากอำนาจ พรรคเพื่อไทยจะเสนอตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริง ตรวจสอบเรื่องเหมืองทองอัคราอย่างเข้มข้นและถึงที่สุด เพื่อหาคนรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นให้ได้” นางสาวจิราพร กล่าว