ครม.ไฟเขียวให้การยาสูบแห่งประเทศไทยจัดหาแหล่งเงินกู้ระยะสั้นเสริมสภาพคล่อง วงเงิน 1,500 ล้านบาท หลังรับผลกระทบหนักจากสภาพเศรษฐกิจถดถอย ผู้บริโภคกำลังซื้อลดลง และน้ำมันขึ้นราคา 

วันที่ 16 ส.ค. 2565 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้การยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) จัดหาแหล่งเงินกู้ระยะสั้นโดยวิธีกู้เบิกเกินบัญชี วงเงิน 1,500 ล้านบาท อายุเงินกู้ 1 ปี ตั้งแต่วันที่ 17 มีนาคม 2565-16 มีนาคม 2566 เพื่อเสริมสภาพคล่องทางการเงินสำหรับใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการทั่วไปของ ยสท. ซึ่งวงเงินกู้ดังกล่าวอยู่ภายใต้แผนการบริหารหนี้สาธารณะ ประจำปีงบประมาณ 2565 แล้ว

โดยผลประกอบการล่าสุดในรอบ 6 เดือน ปี 2565 ของ ยสท. มีรายได้รวม 17,748 ล้านบาท มีค่าใช้จ่ายรวม 17,783  ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 35 ล้านบาท  

นอกจากนี้ ยสท. ยังได้จัดทำประมาณการเงินสดรับ-จ่าย ประจำปีงบประมาณ 2565-2566 กรณีที่ประมาณการยอดจำหน่ายบุหรี่ในประเทศต่ำที่สุด (Worst Case) โดยในปีงบประมาณ 2565 คาดการณ์ว่าจะจำหน่ายบุหรี่ในประเทศได้จำนวน 12,050 ล้านมวน และผลกระทบจากโควิด-19 ส่งผลให้สภาพเศรษฐกิจถดถอยและผู้บริโภคมีกำลังซื้อลดลง ประกอบกับปัญหาจากการปรับขึ้นราคาน้ำมันอย่างต่อเนื่อง ทำให้ต้นทุนวัตถุดิบ ค่าขนส่ง ค่าสาธารณูปโภค และอื่นๆ ที่ ยสท.ต้องนำมาใช้ในการผลิตยาสูบและดำเนินกิจกรรมในองค์กรเพิ่มขึ้นอย่างมาก รวมถึงปัญหาการแพร่กระจายของบุหรี่ผิดกฎหมาย จะส่งผลให้ ยสท.มีรายรับรวม 38,338 ล้านบาท รายจ่ายรวม 44,571  ล้านบาท ขาดทุนรวม 6,233 ล้านบาท และเงินสดปลายงวดคงเหลือจำนวน 2,684 ล้านบาท 

สำหรับปีงบประมาณ 2566 ยสท. คาดการณ์ว่าจะจำหน่ายบุหรี่ในประเทศได้จำนวน 11,552 ล้านมวน มีรายรับรวม 36,711 ล้านบาท รายจ่ายรวม 40,323 ล้านบาท ขาดทุน 3,612 ล้านบาท และเงินสดปลายงวดติดลบจำนวน 928 ล้านบาท 

...

ดังนั้น ยสท.จึงมีความต้องการจัดหาแหล่งเงินกู้ระยะสั้นโดยวิธีกู้เบิกเกินบัญชี วงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาท เพื่อเสริมสภาพคล่อง และใช้เป็นทุนหมุนเวียน เพื่อให้ดำเนินธุรกิจต่อไปได้