“สนธิรัตน์” เลขาฯ พรรคสร้างอนาคตไทย เตือน รัฐบาล-คนไทย รับมือ “ระเบิดเวลาปัญหาปากท้อง” ลูกใหม่ หลังค่าไฟฟ้าจ่อขึ้นราคา ช่วงที่ค่าเงินบาทอ่อนค่าสุดในรอบ 15 ปี ชี้ บาทอ่อน ไม่เอื้อธุรกิจส่งออก เหตุ ภาค SMEs ยังไม่ฟื้น ขอรัฐบาล เร่งออกมาตรการช่วยเหลือด่วน! 

วันที่ 17 ก.ค. 65 นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรคสร้างอนาคตไทย และอดีต รมว.พลังงาน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีสถานการณ์ค่าครองชีพที่สูงขึ้นที่มีผลกระทบต่อประชาชน และถือเป็น “ระเบิดเวลาปัญหาปากท้อง” ว่า สัปดาห์นี้มีอีก 2 เรื่อง ที่ขอพูดถึง เพราะถือเป็นระเบิดเวลาปัญหาปากท้องลูกต่อไป เรื่องแรก ค่าไฟฟ้า (ค่าเอฟที FT) ที่กำลังเตรียมจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณหน่วยละ 5 บาท ในงวดเดือน ก.ย.-ธ.ค.ที่จะถึงนี้ เนื่องจากขีดสามารถในการส่งก๊าซธรรมชาติที่นำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าภายในประเทศลดลง มีความจำเป็นต้องนำเข้า LNG (ก๊าซธรรมชาติเหลว) เพิ่มขึ้น ซึ่งมีต้นทุนเพิ่มทั้งค่าขนส่ง ซึ่งต้องชำระเงินเป็นดอลลาร์สหรัฐ และการแปรสภาพ LNG ให้เป็นก๊าซธรรมชาติ นำมาซึ่งเรื่องที่ 2 คือ ภาวะค่าเงินบาทอ่อนตัว โดยเมื่อวันที่ 16 ก.ค. เงินบาทอ่อนค่าสูงสุดในรอบ 15 ปี อยู่ที่ 36.73 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ และมีแนวโน้มผันผวนและมีความเสี่ยงที่จะอ่อนค่าลงอีก ในทางกลับกัน ค่าเงินที่อ่อนลงอาจจะถือเป็นความโชคดีและเอื้อต่อการส่งออกของไทยมากขึ้น แต่ก็เป็นผลกระทบในเชิงลบสำหรับธุรกิจภาค SMEs ที่นำเข้าสินค้า ที่จะได้รับทั้งผลกระทบจากต้นทุนสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้น และไม่มีกำลังพอที่จะพัฒนาขีดความสามารถต่อภายใต้เงื่อนไขที่เป็นอยู่

“รัฐจะต้องหาแนวทางในการช่วยเหลือพวกเขาต่อไป ไม่ว่าจะผ่านการจ้างงาน หรือพัฒนาความสามารถในการแข่งขัน สำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาวแน่นอน ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ และหากรัฐไม่เตรียมการรับมือดีๆ ก็อาจติดกับดักระเบิดระลอกใหม่ต่อไปได้ เป็นกำลังใจให้ทุกท่าน” นายสนธิรัตน์ ระบุ

...


โดยข้อความทั้งหมดของนายสนธิรัตน์มีดังนี้ “ค่าไฟ ค่าเงินบาท / 2 เรื่องกระทบปากท้องที่ต้องจับตาครับ

สัปดาห์ก่อนผมเก็บเอาเรื่องสถานการณ์ค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลกระทบต่อพวกเราเต็มๆ

สัปดาห์นี้มีอีก 2 เรื่องที่ขอพูดถึงเพราะถือเป็น “ระเบิดเวลาปัญหาปากท้อง” ลูกต่อไปครับ

เรื่องแรก ค่าไฟฟ้า (ค่าเอฟที FT) ที่กำลังเตรียมจะเพิ่มขึ้นอีกประมาณหน่วยละ 5 บาท ในงวดเดือนกันยายน - ธันวาคมที่จะถึงนี้ พวกเราต้องเตรียมรับมือกับค่าไฟที่เพิ่มขึ้นกันนะครับ

ล่าสุดมีข้อมูลขีดสามารถในการส่งก๊าซของแหล่งบงกชเหนือ หรือ GBN ว่าลดลงจากเดิม 500 เหลือ 385 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน (ช่วง 29 มิ.ย. - 16 ก.ค. 65)

ความสามารถที่ลดลงนี้อาจจะมีผลต่อการผลิตไฟฟ้าครับ

ต้องบอกอย่างนี้ครับว่า ก๊าซธรรมชาตินั้นถูกนำไปใช้ในการผลิตไฟฟ้าเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนการใช้ถึง 60% และที่เหลือเป็นการใช้ในภาคอุตสาหกรรม โรงแยกก๊าซ NGV และอื่นๆ

ปัจจุบันความสามารถในการผลิตเราเทียบกับช่วงปีก่อนเหลือเพียงแค่ 65% ลดลงกว่า 20.6% ในการผลิตก๊าซธรรมชาติเพื่อใช้เอง

ขณะที่สัดส่วนการนำเข้าเพิ่มขึ้น 3.8% โดยมีสัดส่วนอยู่ที่ 35% ด้วยค่าก๊าซที่ตลาดโลกมีราคาแพงเราต้องนำเข้า ปัจจุบันแบ่งเป็นการนำเข้าจากเมียนมา 17 % จากแหล่ง ยาดานา ซอติกาและเยตากุน และอีก 18% คือนำเข้า LNG จากประเทศผู้ผลิตอื่นๆ ซึ่งในอนาคตการนำเข้าในสัดส่วนนี้จะเพิ่มมากขึ้น

และแน่นอนครับว่ายิ่งความสามารถการผลิตเรามีแนวโน้มลดลงเรื่อย เราก็จำเป็นที่จะต้องพึ่งการนำเข้าที่มากขึ้น และแน่นอนครับต้องแลกมาด้วยต้นทุนด้านการแปรสภาพ LNG ให้เป็นก๊าซธรรมชาติและค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าขนส่ง

ในส่วนของการนำเข้าทั้งจากเมียนมาและ LNG จากผู้ผลิตเป็นการจัดซื้อโดยจ่ายเป็นเงินสกุล USD (ดอลลาร์สหรัฐ) และยิ่งค่าเงินบาทยิ่งอ่อนมากเท่าไหร่ นั่นหมายความว่า ราคาก๊าซจะเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

นี่จึงเป็นอีกเรื่องที่ต้องให้ความสนใจครับ เรื่อง ค่าเงินบาท

ล่าสุด (16 ก.ค.) เงินบาทอ่อนค่าไปที่ 36.73 บาทต่อ 1 USD อ่อนค่าสูงสุดในรอบ 15 ปี และมีแนวโน้มผันผวนและมีความเสี่ยงที่จะอ่อนค่าลงอีก จากการขึ้นดอกเบี้ยของ FED และมีผลต่อการแข็งค่าของ USD และความกังวลสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศจีน

ความกังวลเรื่องค่าเงินและสถานการณ์เหล่านี้ยังไม่จบง่ายๆ ครับ เราคงจะได้เห็นสถานการณ์ที่ยาวต่อจากนี้ ทั้งความขัดแย้งรัสเซีย ยูเครนที่ทอดระยะเวลาออกไป ปัญหาเงินเฟ้อและการเพิ่มดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ซึ่งมีแนวโน้มปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็น 1% ในการประชุมช่วงปลายเดือนนี้

สำหรับค่าเงินที่อ่อนลงแม้จะความโชคดีและเอื้อต่อการส่งออกในบ้านเราที่มากขึ้น

แต่ถึงอย่างไร ก็เป็นผลกระทบในเชิงลบสำหรับธุรกิจภาคเอสเอ็มอี (SME) ที่นำเข้าสินค้า ที่จะได้รับทั้งผลกระทบจากต้นทุนสินค้าที่เพิ่มสูงขึ้นและไม่มีกำลังพอที่จะพัฒนาขีดความสามารถต่อภายใต้เงื่อนไขที่เป็นอยู่

รัฐจะต้องหาแนวทางในการช่วยเหลือพวกเขาต่อไป ไม่ว่าจะผ่านการจ้างงาน หรือพัฒนาความสามารถในการแข่งขันต่อไป

สุดท้ายนี้ ผมคงต้องขอบอกว่า สำหรับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่เป็นผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาวแน่นอนครับ “ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ” และหากรัฐไม่เตรียมการรับมือดีๆ ก็อาจติดกับดักระเบิดระลอกใหม่ต่อไปได้ เป็นกำลังใจให้ทุกท่านครับ”