รถไฟฟ้า MRT คงค่าโดยสารที่ราคา 17-42 บาท ถึงสิ้นปี 65 นายกฯ กำชับ ช่วยกันดูแลคนไทยให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากสถานการณ์ค่าครองชีพ
วันที่ 1 ก.ค. 2565 นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามสถานการณ์ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนผู้ใช้น้ำมัน และผู้โดยสารรถสาธารณะต่างๆ ซึ่งกำชับให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมกันดำเนินมาตรการช่วยเหลือประชาชน
ล่าสุด กระทรวงคมนาคมหารือร่วมกับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ในฐานะผู้รับสัมปทาน เพื่อหาแนวทางในการลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในภาวะค่าครองชีพที่สูงในปัจจุบัน โดยได้คงอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล หรือ MRT สายสีน้ำเงิน ในราคาเดิม เริ่มต้นที่ 17 บาท สูงสุด 42 บาท พร้อมส่วนลดพิเศษสำหรับเด็กและผู้สูงอายุ 50% และสำหรับนักเรียน นักศึกษา 10% ของอัตราค่าโดยสารบุคคลทั่วไป ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2565 ซึ่งสามารถช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนผู้โดยสารไปได้อีกระยะหนึ่ง
ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 2565 มีมติเห็นชอบร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสารฯ สายเฉลิมรัชมงคล สายฉลองรัชธรรม และอัตราค่าโดยสารร่วม รวม 3 ฉบับ ตามนัยมาตรา 18 (13) แห่งพระราชบัญญัติการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2543 ตามที่กระทรวงคมนาคม เสนอ ซึ่งร่างข้อบังคับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ว่าด้วยการกำหนดอัตราค่าโดยสาร วิธีการจัดเก็บค่าโดยสาร และการกำหนดประเภทบุคคลที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องชำระค่าโดยสารรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล พ.ศ. ....
...
มีสาระสำคัญเป็นการกำหนดอัตราค่าโดยสารใหม่ตามวิธีการในสัญญาสัมปทานโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน โดยอัตราค่าโดยสารใหม่จะมีอัตราเริ่มต้นที่ 17 บาท สูงสุด 43 บาท โดยสถานีที่ 6, 9, 11 และ 12 ขึ้นไป จะมีอัตราค่าโดยสารเพิ่มขึ้นจากปัจจุบัน 1 บาท ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค. 2565 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเล็งเห็นผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้โดยสาร จึงร่วมหารือเพื่อคงค่าอัตราโดยสารรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินราคาเดิมต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2565
“นายกรัฐมนตรีเข้าใจถึงปัญหาภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นของพี่น้องประชาชนจากผลกระทบเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งในปีนี้ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย เช่น ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลโดยตรงต่อประชาชนผู้ใช้น้ำมันและผู้โดยสารรถสาธารณะต่างๆ ที่ต้องมีภาระค่าใช้จ่ายประจำวันเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นายกรัฐมนตรีได้กำชับหน่วยงานและขอความร่วมมือทุกภาคส่วนช่วยกันดูแลประชาชนคนไทยให้ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากสถานการณ์ค่าครองชีพที่สูงขึ้นด้วย”