“พิธา” ชำแหละงบฯ 66 เหมือนช้างป่วย แบกรายจ่ายประจำจนหลังแอ่น งบฯ ฟื้นฟูประเทศแทบไม่มี “พริษฐ์” ฉะตีโจทย์วิกฤติไม่แตก “เสรีพิศุทธ์” จวกดีแต่ก่อหนี้สิน แต่ พท.ออกตัวขอร่วมวง กมธ.งบฯ “โจ้ ยุทธพงศ์” ฟุ้งปลิดชีพ รมว.ในศึกซักฟอก ปูด ครม.กลิ่นตุ รอถล่ม “บิ๊กตู่” เอื้อสายสีชมพูให้นายทุน แซะจะใช้รถไฟฟ้าไปขนกล้วยหรือ “องอาจ” เซ็งรัฐมองข้ามผู้สูงวัย “อุตตม” รอดูสภาพจะผ่านฉลุยหรือรุ่งริ่ง สอท.ให้จับตานักการเมืองเกี้ยเซียะ กกต.จ่อถกรับรองผลผู้ว่าฯ กทม. เผย “ชัชชาติ” ถูกร้อง 2 ประเด็น ป้ายหาเสียงรีไซเคิล-วิจารณ์ระบบราชการ เจ้าตัวไม่วิตก บอกสบายๆ ยันสัมปทานสายสีเขียวต้องเพื่อประชาชน
ฝ่ายค้านคึกคักออกมาชำแหละร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 กันรายวัน โดยเฉพาะประเด็นการจัดงบฯที่ไม่ดูตามสภาวะวิกฤติของบ้านเมือง ทุ่มเทแต่งบฯด้านความมั่นคง ไม่ให้ความสำคัญกับงบลงทุน ที่จะเป็นตัวฟื้นฟูประเทศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต
...
“พิธา” ชำแหละงบฯช้างป่วย
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 29 พ.ค. ที่อาคารอนาคตใหม่ พรรคก้าวไกลจัดกิจกรรม “Hackathon งบ 66 : ร่วมออกแบบ #งบประมาณฉบับก้าวไกล ที่เราอยากเห็น” ต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล กล่าวถึงแนวทางการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ว่า พรรคก้าวไกลจะชี้แจงให้เห็นว่าความจริงปีนี้เป็นปีแห่งการฟื้นฟูประเทศ การท่องเที่ยวน่าจะกลับมา การจัดงบในช่วงที่น้ำขึ้นต้องรีบตัก กระบวยของประเทศไทยใหญ่แค่ไหน แต่เมื่อดูเนื้อหาร่าง พ.ร.บ.งบฯปี 66 แล้ว เหมือนเป็นงบช้างป่วยที่ปรับตัวไม่ได้ งบฯที่ได้รับมากที่สุดคืองบกลางกว่า 5 แสนล้านบาท โดย 80 เปอร์เซ็นต์เป็นงบบำเหน็จ บำนาญ และงบรักษาพยาบาลของข้าราชการ งบที่ปรับสูงมากที่สุดเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว คืองบรัฐวิสาหกิจ หน่วยงานที่ได้รับสูงสุด เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นงบฯที่นำไปจ่ายอุดหนุนการเกษตรย้อนหลังไปถึงปี 2551 จะเห็นว่างบฯที่จัดสรรแทนที่จะเป็นเรื่องการฟื้นฟูประเทศกลับเป็นงบฯของอดีต
ลั่นให้ผ่านวาระแรกไปไม่ได้
นายพิธากล่าวว่า ในฐานะเป็นผู้อภิปรายงบประมาณมาเป็นปีที่ 4 แล้ว จะเห็นว่ามันเป็นช้างป่วยที่ปรับตัวไม่ได้ ปีแรกเห็นแล้วว่าฝนกับพายุกำลังจะเข้าก็จัดแบบนี้ ปีที่สองฝนตกเริ่มหนักขึ้นก็จัดแบบนี้ ปีที่สามพายุเข้าก็ยังจัดแบบนี้ ปีนี้ฟ้าใหม่และฟ้าเปิดแล้วมีโอกาสปรับตัวได้มากขึ้น เรื่องเศรษฐกิจก็น่าจะเปิดแล้ว การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ทำให้เห็นว่าคนสามารถมีความหวังผ่านการเลือกตั้ง ปีหน้าก็จะมีการเลือกตั้ง บทอวสานของผู้นำที่มาจาก คสช. อาจหมดไปในเดือน ส.ค. เพราะครบ 8 ปี สำหรับตนมันเป็นปีที่เราต้องสร้างความหวัง หากเราทำงบฯปีนี้ให้ดีประเทศไทยจะมีความหวังไปข้างหน้า และสามารถปรับตัวได้ใน 10 ปี ถ้าเราจัดงบฯแบบเดิมเราก็จะถอยหลังไปอีก 10 ปีเช่นกัน พรรคคงไม่สามารถให้งบฯผ่านวาระแรกไปได้ ในอดีตเราเห็นใจเลยใช้วิธีงดออกเสียง และไปพิจารณาในวาระ 2-3 แต่เราให้โอกาสมา 2-3 ครั้งไม่ดีขึ้น
ติงบำนาญ ขรก.สร้างเหลื่อมล้ำ
เมื่อถามว่ามีเรื่องไหนที่น่าเป็นห่วงหรือควรปรับให้เร็วที่สุด นายพิธาตอบว่า เป็นยาขมที่ทุกคนต้องกลืน รวมถึงพี่น้องข้าราชการที่เคารพรักทุกคน ต้องมาช่วยกันคิดว่าจะทำอย่างไรให้การบริหารราชการว่องไวมากขึ้น และแก้ปัญหาให้ประชาชนได้เร็วมากขึ้น หนึ่งสิ่งคือการกระจายอำนาจให้ข้าราชการไปอยู่กับท้องถิ่นมากขึ้น ขณะเดียวกันเรื่องดูแลให้ข้าราชการกับประชาชนเท่ากัน เช่น งบบำนาญในงบกลาง ราวๆ 3 แสนล้านบาท เพื่อดูแลข้าราชการที่เกษียณไปแล้ว 8 แสนคน ขณะที่งบฯดูแลผู้สูงอายุประมาณ 8 หมื่นล้านบาท ดูแล 10 ล้านคน จะเห็นว่างบบำนาญข้าราชการสูงกว่างบสวัสดิการคนชรา 57 เท่า สูงเกินไป การเก็บภาษีจากประชาชนเพื่อมาดูแลรัฐราชการอุ้ยอ้าย ไม่สามารถตอบโจทย์ประชาชนได้ หากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆจะมีปัญหา
“ไอติม” ฉะตีโจทย์วิกฤติไม่แตก
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ ผู้จัดการการสื่อสารและการรณรงค์นโยบายพรรคก้าวไกล กล่าวว่า การจัดงบฯ มีสิ่งที่ยังตกหล่นอยู่ โจทย์แรกคือเรื่องเศรษฐกิจ เครื่องยนต์เศรษฐกิจตัวใหม่ที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจเคียงข้างกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ในงบฯปี 66 งบการลงทุนเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจลดลงร้อยละ 10 งบฯส่วนใหญ่ใช้ไปกับการสร้างถนนหนทาง โจทย์สองคือเรื่องของสวัสดิการ ประชาชนทุกช่วงวัยกำลังเดือดร้อน แต่ยังไม่เห็นการตั้งงบฯมาดูแล เช่น เบี้ยผู้สูงอายุที่ถูกปรับขึ้นชั่วคราวเพียง 6 เดือน ยังไม่มีการตั้งหรือยกระดับแบบถาวร เรายังไม่เห็นงบฯเบี้ยเด็กแรกเกิดทั่วหน้า เพื่อทำให้พ่อแม่มือใหม่ทุกคนเข้าถึงอย่างครบถ้วนทุกคน หรือเรื่องของกองทุนเพื่อความเสมอภาคเพื่อการศึกษา เราก็ยังไม่เห็น นี่เป็นของโจทย์ใหญ่ในการกระตุ้นเศรษฐกิจและดูแลการดูแลสวัสดิการประชาชน
“เสรีพิศุทธ์” จวกดีแต่ก่อหนี้
พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส หัวหน้าพรรคเสรีรวมไทย กล่าวว่า หลังพิจารณารายละเอียดร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ 2566 เห็นว่ามีข้อบกพร่องหลายประการ คือ 1.จัดสรรเพื่อการลงทุนต่ำมากเพียง 6.9 แสนล้านบาท จากทั้งหมด 3.18 ล้านล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นรายจ่ายประจำที่ไม่ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศ 2.ให้ความสำคัญกับยุทธศาสตร์สร้างขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศน้อยมาก เพียงร้อยละ 12.4 ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญที่จะผลักดันให้ประเทศแข่งขันกับชาติอื่นได้ 3.การจัดทำงบฯแบบขาดดุล ต้องกู้เงินมาเพื่อเป็นรายรับ 695,000 ล้านบาท ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น เป็นภาระหนี้คนรุ่นหลังไม่จบสิ้น 4.การตั้งงบฯที่ฉิวเฉียดต่อการขัด พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง โดยรัฐต้องมีงบลงทุนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 แต่ตั้งไว้ที่ร้อยละ 21.82 เกินมาเพียงร้อยละ 1.82 และต้องมีรายการเงินกู้ไม่มากไปกว่างบลงทุน รัฐบาลตั้งรายการเงินกู้ไว้ 695,000 ล้านบาท ขณะที่งบลงทุนเกินมาเพียง 77.4 ล้านบาท พรรคเสรีรวมไทยจึงมีมติไม่รับหลักการร่วมกับพรรคฝ่ายค้านอื่น
“โจ้” ฟุ้งปลิดชีพ รมต.ศึกซักฟอก
ที่พรรคเพื่อไทย นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แถลงถึงการเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลว่า ที่ประชุมพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 24 พ.ค. มีมติให้ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันที่ 15 มิ.ย. คาดว่าจะเริ่มอภิปรายได้ในวันที่ 18-21 ก.ค. ใช้เวลารวม 4 วัน การอภิปรายครั้งนี้เป็นวาระสุดท้ายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และ รมว.กลาโหม เรามั่นใจว่ามีหลักฐานเด็ดปลิดชีพระดับ “รัฐมนตรีว่าการ” ให้ตายกลางสภาฯและมีใบเสร็จด้วย ถ้าเปิดหลักฐานออกมารับรองกรี๊ดกร๊าดสนั่นสภาฯแน่ รับรองได้ว่า ส.ส.หญิงบางคนอาจทนดูการอภิปรายของฝ่ายค้านไม่ได้ ต้องเดินออกไปร้องไห้ข้างๆห้องประชุมก็ได้
ปูด ครม.กลิ่นตุขยาย 2 สถานีสายสีชมพู
นายยุทธพงศ์กล่าวว่า ในฐานะเป็นผู้จุดประเด็นเรื่องรถไฟฟ้าสายสีเขียว จะติดตามเรื่องนี้ เอาคนทำผิดกฎหมายลากติดคุกติดตะรางให้หมด วันนี้ขอเปิดประเด็นเรื่องรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ที่ก่อสร้างโดยบริษัท นอร์ทเทิร์นบางกอกโมโนเรล จำกัด มีบริษัท บีทีเอส จำกัด ถือหุ้นใหญ่อยู่ ตั้งข้อสังเกตว่าในการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพูไม่มีส่วนต่อขยายใดๆ เข้าไปเมืองทองธานี อยู่ๆมีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 9 ก.พ.2564 ให้เชื่อมต่อบริเวณสถานีศรีรัช เข้าไปยังซอยปากเกร็ด 39 หรือซอยเข้าศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็คเมืองทองธานี รวมระยะทาง 3 กม. เชื่อมต่อ 2 สถานี คือสถานีอิมแพ็คชาเลนเจอร์ และสถานีทะเลสาบเมืองทองธานี เมืองทองธานีเป็นของตระกูลดัง พอมีสถานีเชื่อมต่อเข้าเมืองทองธานีทำให้ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นสูง พบว่ามีที่ดินวางเปล่าของเศรษฐีปลูกสวนกล้วยเพื่อเลี่ยงการเสียภาษีที่ดิน ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ต้องโดนอภิปรายไม่ไว้วางใจเรื่องนี้ด้วย
ข้องใจเอื้อประโยชน์เจ้าสัว
“เป็นถึงหัวหน้า ครม.ไป อนุมัติแบบนั้น จะไปขนกล้วยมาขายในกรุงเทพฯหรืออ้างทำเพื่อประชาชน แต่ทำไมปลูกกล้วยเต็มเลย พล.อ.ประยุทธ์ต้องตอบ เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเอื้อประโยชน์เจ้าสัวหรือไม่ แต่ประชาชนต้องเจอกับวิกฤติปุ๋ยแพง น้ำมันแพง หมูแพง ข้าวราคาถูก และวัวล้มตาย พล.อ.ประยุทธ์ทำอะไรอยู่ ทำไมไม่ช่วยประชาชน นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนถึงมาไล่คุณ เพราะประชาชนหมดศรัทธาแล้ว ควรออกไปได้แล้ว พรรคร่วมฝ่ายค้านมีมติคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบฯ เพราะการพัฒนาประเทศแทบไม่มี ประชาชนเดือดร้อนอดอยาก รัฐบาลบอกไม่มีเงินช่วยแต่กลับมีงบฯไปซื้อเครื่องบินรบใหม่ F-35 ปรากฏว่าเป็นเครื่องบินเปล่าๆไม่มีอาวุธ จะนำประเด็นนี้ไปอภิปรายในสภาฯ พล.อ.ประยุทธ์ต้องมีคำตอบ นี่คือเหตุผลสำคัญที่พรรคไม่สามารถรับหลักการร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯนี้ได้” นายยุทธพงศ์กล่าว
“สมคิด” ออกตัวขอร่วมวง กมธ.
นายสมคิด เชื้อคง รองประธานวิปฝ่ายค้าน กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยยังไม่มีมติโหวตคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯอย่างเป็นทางการ เพียงแต่พูดคุยกันภายในว่าไม่เห็นด้วย เมื่อถามว่าหากร่าง พ.ร.บ.งบฯผ่านวาระ 1 พรรคจะส่งตัวแทนร่วมในคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯหรือไม่ หรือจะไม่ร่วมสังฆกรรมเลย นายสมคิดตอบว่า เราร่วมเป็น กมธ.อยู่แล้ว จำเป็นต้องเข้าไปจัดสรรงบประมาณว่าสิ่งไหนดีหรือไม่ดี จะปรับหรือโยกย้ายตรงไหนเพื่อให้เหมาะสม ไม่ใช่ว่าไม่เห็นด้วยแล้วไม่ร่วมเป็น กมธ. เราเล็งเห็นงบฯที่ไม่มีความจำเป็นและไม่เหมาะสมอยู่หลายส่วน เช่น งบประมาณกระทรวงกลาโหม ที่ท้วงติงไปหลายครั้ง โดยเฉพาะการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ แม้งบฯด้านความมั่นคงจะลดลง แต่ยังไม่ถึงจุดที่สมควรยังมีงบฯที่เพิ่มขึ้นในบางตัว ภาพรวมเราไม่อยากให้ใช้งบประมาณด้านความมั่นคงในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้
“องอาจ” เซ็งรัฐมองข้ามผู้สูงวัย
ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ประธาน ส.ส. และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ดูการจำแนกตามยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณ แบ่งออกเป็น 6 ยุทธศาสตร์ และรายการค่าดำเนินการภาครัฐ พบว่ายุทธศาสตร์ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมได้รับการจัดสรรสูงสุด คือ 759,861 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 23.9 ถือเป็นเรื่องดีที่ภาครัฐคำนึงถึงการสร้างโอกาส และความเสมอภาคทางสังคม ส่วนที่ได้รับงบน้อยที่สุดคือ แผนงานบูรณาการเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับสังคมสูงวัย ที่ได้เพียง 448.7 ล้านบาท แสดงให้เห็นว่าภาครัฐยังไม่เห็นความสำคัญที่จะดูแลสังคมสูงวัยเท่าที่ควร ทั้งที่ความจริงควรเห็นความสำคัญมากกว่านี้ เพราะตัวเลขผู้สูงวัยมีจำนวนมากขึ้นต่อเนื่องทุกปี โดยเฉพาะผู้สูงวัยในสังคมชนบท ขอเรียกร้องให้ภาครัฐจัดสรรงบ โดยคำนึงถึงผู้สูงวัยที่มีมากขึ้น บนพื้นฐานของการมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข จนถึงวันสุดท้ายของชีวิต
“ราเมศ” โวยฝ่ายค้านเล่นเกม
นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายสุทิน คลังแสง ประธานวิปฝ่ายค้าน ระบุรัฐบาลจัดงบประมาณ 2566 เหมือนขอทานอยากจัดงานเลี้ยงวันเกิดว่า ฝ่ายค้านไม่ควรนำมาเป็นประเด็นทางการเมืองเป็นการกล่าวหาที่แรงเกินไป อย่าเหมารวมให้คนอื่นตีความได้ว่าเป็นการดูถูกประชาชน เพราะประชาชนไม่ใช่ขอทาน ควรทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลด้วยเหตุด้วยผล ถ้าคิดเพียงว่าฝ่ายค้านต้องเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายรัฐบาลเสมอไป น่าเสียดายโอกาสประชาชน งบประมาณแผ่นดินเป็นเรื่องของบ้านเมือง ไม่ใช่เรื่องการเมือง เชื่อว่าคนที่เป็นนักการเมืองมืออาชีพจะรู้ดีถึงหลักการในการจัดงบประมาณ เป็นไปไม่ได้ที่จะจัดงบกระจายไปให้พรรคร่วมรัฐบาล เพราะรัฐบาลและสำนักงบประมาณย่อมมีส่วนสำคัญในการกำหนดให้เป็นไปตามภารกิจ ความรับผิดชอบ ความจำเป็นของแต่ละหน่วยงาน ไม่มีเหตุผลใดที่ต้องซื้อใจพรรคร่วมรัฐบาล และที่บอกว่าส่อให้เกิดการทุจริต ในเรื่องนี้ไม่มีใครเห็นด้วยกับการทุจริต หากมีก็ต้องช่วยกันตรวจสอบจัดการให้เด็ดขาด
“อุตตม” รอดูสภาพรัฐบาล
ช่วงสายที่พรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) นายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรค สอท. แถลงภาพรวมด้านเศรษฐกิจ การเมือง และงบประมาณปี 66 ว่า ต้องจับตา 2 ประเด็น ได้แก่ การจัดโครงสร้างงบประมาณ และการบริหารความเสี่ยงความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ นับจากนี้จะทำได้ดีแค่ไหน เพราะวิกฤติต่างๆกระทบเข้ามาพร้อมกัน ทั้งเรื่องอาหาร ผลต่อเนื่องจากโควิดที่จะเข้มข้นขึ้น และสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน งบประมาณจะเป็นเครื่องมือและกลไกสำคัญของรัฐบาล การใช้เครื่องมือที่มีอยู่ต้องเป็นแนวทางที่ไม่ใช่แบบภาวะปกติ วันนี้ยังไม่สายเกินไปที่จะปรับเปลี่ยนพรรค พร้อมเป็นสะพานส่งไปถึงรัฐบาล แต่เชื่อว่าร่าง พ.ร.บ.งบฯ จะผ่านสภา เพราะไม่เคยมีการคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบฯมาก่อน แต่จะผ่านแบบฉลุย หรือรุ่งริ่งต้องรอดู ส่วน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า อดีตเลขาธิการพรรคเศรษฐกิจไทย ที่ออกมาเคลื่อนไหวในช่วงนี้ ถือเป็นตัวแปรสำคัญ ในสถานการณ์เศรษฐกิจเช่นนี้ นายกฯ ต้องออกมาชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนว่า มีแผนดำเนินการช่วยเหลืออย่างไร เห็นใจและให้กำลังใจนายกฯ เพราะเรื่องนี้ไม่ง่าย นับตั้งแต่ออก จากรัฐบาลมา ไม่เคยพูดคุยกับนายกฯแต่อย่างใด
“สันติ” ให้จับตา ส.ส.เกี้ยเซียะ
นายสันติ กีระนันทน์ รองหัวหน้าพรรค สอท. กล่าวว่า มีเรื่องที่ต้องท้วงติงต่อรัฐบาลคือ รัฐไม่สามารถ จัดเก็บรายได้ตามเป้า กลายเป็นภาระหนี้สาธารณะที่กู้มามากกว่าที่คาดไว้ โครงสร้างการจัดสรรงบฯไม่สอดคล้องกับสถานการณ์จริง ส่วนใหญ่เป็นงบฯบุคลากร แสดงให้เห็นว่าติดหล่ม งบฯที่ตั้งไว้เพื่อการลงทุนน้อย มาก แต่ไปตั้งไว้ในเงินอุดหนุนทำให้ตรวจสอบยาก ส่วนงบบูรณาการเกือบร้อยละ 7 ใน 15 แผนงาน เป็นการซุกงบฯที่จะไม่เห็นในหน่วยงานรับ และงบซื้อ อาวุธไปอยู่ในยุทธศาสตร์เพิ่มขีดความสามารถกองทัพ เกือบ 6 หมื่นล้านบาท ใน 3 เหล่าทัพ และยังมีแผน ระยะยาวกว่า 4 แสนล้านบาท ใน 10 ปี แม้ประเทศ ต้องมีความมั่นคงทางทหาร แต่ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ควรลด แล้วเอางบฯไปใช้ฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ ประชาชนทำกินได้ก่อน ขอให้ประชาชนจับตา เพราะ นักการเมืองเขาไปล็อกงบฯ ตั้งแต่กระบวนการจัดทำ คำขอตั้งแต่ท้องถิ่นแล้ว
“สนธิรัตน์” ชี้กระแสแรงเปลี่ยนรัฐบาล
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ เลขาธิการพรรค สอท. กล่าวถึงการลงพื้นที่ 4 จังหวัดภาคอีสาน คือ หนองบัวลำภู สกลนคร มุกดาหาร และอุบลราชธานี ว่า ได้เห็นกระแสประชาชนที่เรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงรัฐบาล ประชาชนตอบรับเรามากกว่า ที่คาดหวังไว้ โดยเฉพาะเรื่องปัญหาปากท้อง เพราะเห็นความสามารถในทีมงานของพรรค อยากเห็นพรรคสายกลางที่สลายความขัดแย้ง และเรียกร้องผู้นำประเทศคล้ายกับกระแสใน กทม. ส่วนกรณีฝ่ายค้านตั้งธงจะคว่ำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 66 ถือเป็นการส่งสัญญาณของพรรคร่วมฝ่ายค้านที่เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยเร็ว และเชื่อว่าเขาคงมี ข้อมูลอะไรบางอย่างที่ทำให้มั่นใจว่ามีโอกาสเป็น ไปได้ เมื่อถามว่า เหมาะสมหรือไม่ที่ฝ่ายค้านนำเรื่อง งบฯเป็นตัวประกัน นายสนธิรัตน์ตอบว่า เป็นสิทธิของ พรรคการเมือง ส่วนจะเป็นไปได้หรือไม่ได้ ต้องยอมรับ ว่าสถานการณ์ตอนนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ ยิ่งรัฐบาล กำลังเผชิญปัญหาที่ถาโถม หลังจากนี้อีกมากมาย มีโอกาสเกิดอะไรได้ทั้งนั้น แต่จะให้ฟันธงก็ไม่ได้ เพราะไม่ใช่ฝ่ายค้าน
กกต.ถกรับรองผลผู้ว่าฯ กทม.
ผู้สื่อข่าวรายงานจาก กกต.ว่า การประชุมคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) วันที่ 30 พ.ค. เวลา 13.00 น. สำนักงาน กกต.จะเสนอรายงานผลคะแนนการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.และ ส.ก. เพื่อพิจารณาประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง โดยผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุดของการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. คือนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครหมายเลข 8 ในนามอิสระ ได้รับคะแนน1,386,215 คะแนน ส่วน ส.ก.ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย20 คน พรรคก้าวไกล 14 คน พรรคประชาธิปัตย์9คน กลุ่มรักษ์กรุงเทพ 3 คน พรรคพลังประชารัฐ2คน และพรรคไทยสร้างไทย 2 คน เบื้องต้นมีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.และ ส.ก.รวม 24 คำร้อง ส่วนใหญ่เป็นการร้องเรียนเรื่องการปิดป้ายหาเสียงไม่ถูกต้อง และข้อความที่ใช้หาเสียงหมิ่นเหม่เกินกรอบอำนาจหน้าที่ เข้าข่ายหลอกลวง เป็นต้น
“ชัชชาติ” ถูกร้องสองประเด็น
สำหรับนายชัชชาติถูกร้องเรียน 2 เรื่องคือ 1.นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ยื่นคำร้องต่อ กกต.ขอให้ไต่สวนนายชัชชาติ กรณีทำป้ายหาเสียงเป็นผ้าไวนิลมีเจตนาแฝงเพื่อให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งสามารถนำไปรีไซเคิลทำกระเป๋า-ผ้ากันเปื้อน เข้าข่ายกระทำการจูงใจให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งลงคะแนนให้ ต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่าเข้าข่ายสัญญาว่าจะให้ หรือเป็นแค่เพียงนโยบายหาเสียงเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อม นโยบายรีไซเคิลและรียูสสิ่งของ และ 2.การร้องเรียนเกี่ยวกับระบบราชการ ซึ่งเป็นการแจ้งผ่านหน่วยงานอื่น ไม่ใช่กกต.โดยตรง อ้างว่า นายชัชชาติระบุเนื้อหาทำนองว่าระบบราชการอาจส่งผลต่ออุปสรรคการปฏิบัติงาน เบื้องต้นกรณีนี้ไม่เกี่ยวข้องกับกฎหมายเลือกตั้ง ยังไม่สามารถระบุได้ว่าตรงกับข้อกฎหมายใด
เจ้าตัวไม่ได้วิตกบอกสบายๆ
ช่วงเช้าวันเดียวกันที่ชุมชนหลัง สน.ทองหล่อ เขตวัฒนา นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์ ว่าที่ ส.ก.เขตวัฒนา และ ผอ.เขตวัฒนา ลงพื้นที่สำรวจชุมชนแออัดหลัง สน.ทองหล่อ ที่ไม่ได้จดทะเบียนอย่างถูกต้อง จากนั้นสำรวจคลองเป้งที่อยู่ติดกับชุมชน และพบปะประชาชนที่มาฉีดวัคซีน นายชัชชาติกล่าวว่า พื้นที่ทองหล่อถือเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใจกลางเมือง แต่ยังมีชุมชนแออัดซ่อนอยู่ 3-4 แห่ง เช่น ชุมชนหลัง สน.ทองหล่อชุมชนริมคลองเป้ง และชุมชนลีลานุช มีประชากรรวมกันอยู่ 300-400 หลังคาเรือน หลายชุมชนอยู่อย่างผิดกฎหมาย ไม่มีโฉนด รุกล้ำที่สาธารณะ ต้องพยายามปรับให้คนในชุมชนไปอยู่ในที่ที่ถูกกฎหมาย มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีถูกร้องเรียนต่อ กกต. 2 เรื่อง นายชัชชาติตอบว่า ชี้แจ้งข้อกล่าวหาทั้ง 2 เรื่องต่อ กกต.แล้ว ไม่มีอะไรน่าห่วง สบายๆ
สัมปทานสายสีเขียวเพื่อ ปชช.
เมื่อถามถึงการต่ออายุสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว นายชัชชาติกล่าวย้ำว่า รถไฟฟ้าสายสีเขียวไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง หน้าที่เราคือไปดูในสิ่งที่คนอื่นทำมาแล้ว สัญญาเก่าเป็นยังไง รับหนี้ยังไง ต่อสัญญา 40 ปียังไง เมื่อเข้าไปจะใช้เวลา 1 เดือนในการตรวจสอบเอกสาร แล้วพิจารณาว่าจะเดินต่อยังไง ยืนยันว่าไม่ได้ใช้อารมณ์ แต่ดูประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง และยืนยันว่าไม่ได้หารือกับพรรคเพื่อไทย แม้แนวคิดจะคล้ายกัน แต่เป็นนโยบายของตนตั้งแต่หาเสียงอยู่แล้วว่าต้องโปร่งใส และราคามีการแข่งขันที่เป็นธรรม ส่วนหนี้ที่ กทม.ติดบีทีเอสอยู่หลายหมื่นล้านนั้น ก็มีกังวล แต่หลังปี 2572 เงินจะเป็นของ กทม. ต้องมาดูว่าผ่อนจ่ายหนี้ได้หรือไม่ เป็นเหมือนการต้องดูอดีตว่าเกิดอะไรขึ้น เพื่อหาทางแก้ไขร่วมกัน
ขย่ม “ลุงตู่” ซากปรักหักพัง
นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา’35 กล่าวว่า อยากเห็นโมเดลการเมืองไทยเหมือนการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่หาเสียงแนวสร้างสรรค์ไม่สร้างวาทกรรมปลุกเร้าสังคมไปสู่ความขัดแย้ง 2 ขั้ว ได้เป็นผู้ว่าฯ กทม.ก็มุ่งหน้าทำตามนโยบายตามสัญญา พร้อมสร้างความปรองดองผ่านการแก้ไขปัญหาใน กทม. ไม่แบ่งฝัก แบ่งฝ่าย เป็นบทเรียนให้กับพรรคการเมือง นักการเมืองที่สัญญาเอาไว้กับประชาชนแล้วผิดคำพูด โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ยึดอำนาจมา 8 ปี ตระบัดสัตย์ชัดเจน ทั้งไม่สร้างความปรอดอง ไม่ปฏิรูปประเทศ สิ่งที่เลวร้ายที่สุด ส.ส.หลายคนลืมอุดมการณ์ ถูกซื้อขายตัวเหมือนตลาดวัวตลาดควายอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ผลพวงมาจากมีบุคคลที่ไร้ความสามารถ ไร้จิตสำนึก ยึดกุมอำนาจนำพาบ้านเมืองหลงทางมา 8 ปี พล.อ.ประยุทธ์เปรียบเหมือนสิ่งชำรุดและซากปรักหักพังทางการเมืองไทย ดังนั้น ใครก็ตามที่สามารถทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ลงจากอำนาจได้ ต้องให้การสนับสนุนทั้งฝ่ายค้าน รวมทั้ง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า แกนนำพรรคเศรษฐกิจไทย ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หากมัวแต่เล่มเกมสองหน้าทำให้อึมครึม คงต้องเตือนว่าเวลาของท่านเริ่มหมดลงแล้ว ครั้งนี้เป็นโอกาสุดท้าย หากไม่กล้าไถ่บาป ประชาชนจะพิพากษาพี่น้อง 3 ป.ไปพร้อมกัน
สตาร์ต “บิดหยุดขัง”-ต้าน 112
เมื่อเวลา 12.00 น. ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย กลุ่มมวลชนอิสระ จัดกิจกรรมคาร์ม็อบบิดหยุดขัง 76 จังหวัดทั่วประเทศ จากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ปลายทาง จ.เชียงราย เพื่อประชาสัมพันธ์ว่ายังมีประชาชนที่อยู่ในเรือนจำไม่ได้รับสิทธิการประกัน รวมทั้งส่งเสียงเรียกร้องให้ยกเลิกมาตรา 112 ทั้งนี้ก่อนเคลื่อนขบวนมีกลุ่มศิลปินเพลงเพื่อราษฎร และ “มิ้นท์ นาดสินปฏิวัติ” ร่วมกันร้องเพลงและกล่าวเปิดกิจกรรม “บิด หยุด ขัง” บริเวณหน้าร้านแมคโดนัลด์ ก่อนออกเดินทางคาร์ม็อบ 76 จังหวัด สำหรับเส้นทางขบวนเริ่มสตาร์ตที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ผ่านหน้าเรือนจำกลางคลองเปรม จะร่วมกิจกรรมยืนหยุดขังประมาณ 30-45 นาที แล้วเดินทางต่อไปที่พักค้างคืนแรก ที่วัดเรือแข่ง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา และเดินทางต่อไปเรื่อยๆจนครบทุกจังหวัดตามที่ตั้งเป้าไว้