รัฐบาลเผยความคืบหน้าวัคซีนโควิดสัญชาติไทย “ChulaCov19” ผลิตลอตแรกในประเทศได้แล้ว อยู่ระหว่างรออนุมัติจาก อย. คาดขึ้นทะเบียนได้ในปลายปี 65 สอดรับเป้าหมาย Medical Hub
วันที่ 7 พ.ค. 2565 นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รับทราบความคืบหน้าการพัฒนาวัคซีนโควิด-19 สัญชาติไทย “ChulaCov19” ชนิด mRNA โดยเมื่อ พ.ย. 2564 คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติงบประมาณสนับสนุน 2,316 ล้านบาท
ทางด้าน ศูนย์วิจัยวัคซีน คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นการออกแบบวัคซีนและให้โรงงานในสหรัฐอเมริกาผลิต ซึ่งผ่านการทดสอบในอาสาสมัครระยะที่ 1 และ 2 เรียบร้อยแล้ว มีความปลอดภัยและสามารถกระตุ้นภูมิได้สูงเป็นที่น่าพอใจ เมื่อเทียบกับวัคซีนไฟเซอร์ (Pfizer) ที่อนุมัติใช้ในไทย ได้ภูมิที่สูงกว่าชัดเจน
ส่วนระยะต่อไปจะเป็นการผลิตวัคซีนเองภายในประเทศ โดยบริษัท ไบโอเนท-เอเชีย จำกัด ซึ่งผลิตวัคซีนลอตแรกเรียบร้อยและผ่านการประกันคุณภาพแล้ว โดยทีมวิจัยส่งเอกสารและข้อมูลต่างๆ เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อขอทดสอบในอาสาสมัครระยะที่ 1 และ 2 อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจาก อย. หากผลทดสอบวัคซีนที่ผลิตเองในไทยได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ คาดว่าจะขึ้นทะเบียนวัคซีนได้ภายในปลายปี 2565
“รัฐบาลตั้งเป้าให้ไทยเป็นประเทศสามารถคิดค้น ทดลอง วิจัย พัฒนา และผลิตวัคซีนในประเทศได้เอง ตามยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) 2560-2569 ซึ่งจะส่งผลถึงระดับภูมิภาค ทำให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความมั่นคงและปลอดภัยในการป้องกันเชื้อไวรัส เป้าหมายดังกล่าวกำหนดไว้ตั้งแต่ก่อนที่จะมีการระบาดของโควิด-19 ซึ่งการที่ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตวัคซีนจะช่วยเพิ่มโอกาสให้คนไทยเข้าถึงวัคซีน และการระดมฉีดวัคซีนทำให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ได้อย่างรวดเร็วมากขึ้น สามารถป้องกันการเสียชีวิตของคนไทย ช่วยลดการป่วยหนัก และการเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งหมายความถึงการลดภาระระบบสาธารณสุขได้อีกมหาศาล”
...