“วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” ควงผู้สมัครส.ก. หาเสียงตลาดดินแดง-เขตดินแดง โต้หม่อมเจ้าจุลเจิม ยันทำนโยบายเพราะคิดถึงผู้คนจริงๆ ประกาศหนุนคนเดินเท้ากับผู้ค้าอยู่ร่วมกัน แก้จราจรต้องไม่ยึดติดวิธีคิดเดิมๆ

วันที่ 16 เมษายน 2565 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคก้าวไกล เบอร์ 1 เดินหาเสียงพบปะประชาชนที่ตลาดกลางดินแดงและซอยประชาสงเคราะห์ พร้อมด้วย นายกัณตภณ ดวงอัมพร (แรมโบ้) ผู้สมัคร ส.ก. พรรคก้าวไกล เขตดินแดง เบอร์ 5

โดยก่อนการเดินหาเสียง นายวิโรจน์ได้ให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชน ระบุว่า สำหรับการมาสื่อสารกับชาวตลาดดินแดงครั้งนี้จะเน้นไปที่นโยบายการทำให้การจัดเก็บขยะมีประสิทธิภาพและความรวดเร็วมากขึ้น และการทำให้ทั้งคนเดินเท้าและผู้ค้าสามารถอยู่ร่วมกันได้ โดยย้ำว่าที่ผ่านมาผู้ค้าไม่ได้อยากค้าขายบนทางเท้า แต่อยากได้พื้นที่ค้าขายที่เป็นกิจลักษณะ มีการขนส่ง มีผู้คน แต่การจัดการในอดีตมักจะผลักให้ผู้ค้าไปขายในที่ที่ไม่มีคน จึงไม่สามารถขายได้

ผู้สื่อข่าวยังได้ถามถึงกรณี หม่อมเจ้าจุลเจิม ยุคล ออกมาโจมตีนายวิโรจน์และพรรคก้าวไกล ว่ามีนโยบายล้มล้างกรุงเทพฯ ซึ่ง นายวิโรจน์ระบุว่า กรุงเทพฯ คือเมืองของผู้คน การแก้ปัญหาใดๆ ต้องคิดถึงผู้คนจริงๆ คิดถึงการใช้ชีวิต กิจกรรมทางเศรษฐกิจ อย่าเอางบประมาณที่เป็นภาษีของเราไปสร้างแต่สิ่งปลูกสร้างแล้วกันให้คนออกไป ความสวยงามที่แท้จริงของเมืองคือผู้คน ระเบียบที่เกิดขึ้นต้องไม่มาจากผู้มีอำนาจคนใด แต่มาจากตกลงกติการ่วมกัน ความเข้าใจซึ่งกันและกัน

...

“คนเหล่านี้ภาษาจีนเรียกว่า ‘เจี๊ยป้าบ่อสื่อ’ พวกผมตั้งใจทำงานดีกว่า การบอกว่าเมืองที่คนเท่ากันเป็นความฝันลมๆ แล้งๆ แต่สำหรับผมและพรรคก้าวไกลอย่างไรก็จะทำความฝันนี้ให้เป็นจริงสำหรับคนทุกคนให้ได้ กระตุ้นให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีชีวิตชีวา เต็มไปด้วยกิจกรรมและการค้าขาย ไม่ใช่เน้นแต่สิ่งก่อสร้างสวยงามแต่ไร้ผู้คน ไร้ชีวิตชีวา ให้เป็นเมืองที่คนเท่ากัน”

นอกจากนี้ นายวิโรจน์ ยังได้ลงพื้นที่เขตดอนเมือง พร้อมนายไกรศักดิ์ เสาเวียง ผู้สมัคร ส.ก.เขตดอนเมือง พรรคก้าวไกล เบอร์ 5 เพื่อเยี่ยมและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่จุดบริการประชาชนช่วงเทศกาลสงกรานต์ บริเวณสถานีรถไฟดอนเมือง

โดยได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเพิ่มเติมเกี่ยวกับปัญหาการจราจรและการสัญจรในกรุงเทพฯ ว่าการแก้ปัญหาจราจรต้องไม่ยึดติดกับวิธีคิดแบบเดิมๆ อย่างเช่นการขยาย หรือการตัดถนนใหม่ๆ วิธีแก้ที่ดีที่สุดในวันนี้คือการปรับปรุงระบบขนส่งสาธารณะให้ดีเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการจัดการเส้นทางที่ใบอนุญาตหมด ไม่มีรถร่วมฯ หรือบริษัทเอกชนเดินรถ กทม.สามารถเข้าไปเดินรถเองได้, ปรับปรุงหรือทำเส้นทางที่มีการเชื่อมโยงกับระบบรถไฟฟ้าเพิ่ม, ส่งเสริมจูงใจให้มีการใช้งานมากขึ้นด้วยระบบบัตรเหมา และจะต้องมีการพิจารณาเปลี่ยนรถเมล์เก่าทั้งระบบ

ส่วนระบบขนส่งรถไฟฟ้าที่มีค่าบริการแพงเกินกว่าที่ควรนั้น ต้นตอมาจากค่าแรกเข้าที่ซ้ำซ้อน ส่วนตัวเชื่อว่าเป็นปัญหาที่เกิดจากการลงนามสัญญาระหว่าง กทม.กับบริษัท BTS ที่ไม่ปกติ โดยเมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมาส่วนตัวได้มีการยื่นหนังสือขอให้ กทม.ออกมาเปิดเผยสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวแล้ว แต่จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีการตอบสนองกลับมาอย่างไรทั้งสิ้น.