นโยบายรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการรับมือกับ สภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจ จากภาวะตกต่ำของเศรษฐกิจทั่วโลก สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ล่าสุด สงครามรัสเซีย-ยูเครน ต้องถือว่าเป็นวิกฤติเศรษฐกิจที่หนักที่สุด ซึมลึกและรุนแรงระดับ

ห้าดาว อาจจะยังไม่เห็นผลกระทบหนักหน่วงทันที เพราะผลกระทบค่อยเป็นค่อยไป มีการชดเชยทดแทนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน โดยไม่มีวิธีรักษาและแก้ไขปัญหา ปล่อยให้ค่อยๆเดือดร้อนทีละนิด แต่ภาพรวมเศรษฐกิจระดับมหภาค ต้องถือว่าหนักหนาสาหัส จากล่างขึ้นบนจนจะถึงยอด รอเวลา จากบนลงล่าง ครบวงจรเมื่อไหร่ จะเห็นภาพเศรษฐกิจผุพังของประเทศที่แท้จริง

เงินเฟ้อขึ้นสูงมากผิดปกติ ของแพง แต่รายได้กลับลดลง หรือคงที่ กำลังจะเป็นปัญหาใหญ่ที่กระทบกับปากท้องของชาวบ้าน เวลานี้มีแต่คนขาย ไม่มีคนซื้อ ถ้ารัฐลงจากหอคอยแล้วไปคุยกับรากหญ้าดูจะรู้ว่าเศรษฐกิจปากท้องของจริงเป็นอย่างไร ไม่ใช่มามัวชื่นชม คนละครึ่ง เฟสนั้นเฟสนี้ ซึ่งก็เป็นแค่ ยาสามัญประจำบ้าน ที่นำไปใช้รักษาคนป่วยหนัก ในที่สุดก็ไม่รอดอยู่ดี

กระทรวงการคลังที่มี อาคม เติมพิทยาไพสิฐ เป็นว่าการฯ มี สันติ พร้อมพัฒน์ เป็นช่วยว่าการฯ ออกนโยบายสนับสนุนการลงทุนใน สตาร์ตอัพ เน้นอุตสาหกรรมเป้าหมาย ทั้งลงทุนโดยตรงและโดยอ้อม ผ่าน CVC หรือ Venture Capital เป็นการระดมทุนจากนักลงทุนโดยยกเว้น

การเก็บภาษีผลกำไรจากส่วนต่างของราคาหลักทรัพย์ หรือ Capital Gapins Tax เป็นเวลา 10 ปีให้กับนักลงทุน อ้างเป็นการจุดไฟสตาร์ตอัพอีกครั้ง

ปัญหาก็คือ การลงทุนของสตาร์ตอัพ ในสภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำขนาดนี้ ใครจะกล้าลงทุน ขนาดบริษัทขนาดใหญ่ที่มีรากฐานแน่นหนา

คนยังไม่กล้าไปลงทุน ซึ่งเมื่อลงทุนไปแล้วมีความเสี่ยงที่จะขาดทุนมากกว่า มีกำไร ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ก็ไม่มีคนลงทุนอยู่ดี นอกจากต้องการจะเข้ามาฟอกเงินเท่านั้น

...

ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม มีทางออกเดียวให้เลือกคือการเซ้ง และขายกิจการในราคาขาดทุน การที่รัฐอ้างว่า ให้นโยบายสถาบันการเงิน โดยเฉพาะแบงก์รัฐ ในการเข้าสนับสนุนด้านการเงินลงทุนผู้ประกอบการธุรกิจสตาร์ตอัพ โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ก็ยิ่งดูไม่สมจริงเข้าไปอีก ขนาดแบงก์รัฐพยายามจะปล่อยกู้แข่งกับเงินติดล้อแล้วด้วยซ้ำไป ยังไม่ค่อยมีคนจะกู้ เนื่องจากกลัวเป็นหนี้เป็นสินมากไปกว่านี้

เป้าหมายดึงเม็ดเงินลงทุนสตาร์ตอัพเพิ่ม 320,000 ล้าน ในปี 2569 คาดว่าจะเกิดการจ้างงานกว่า 4 แสนตำแหน่ง สร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบเศรษฐกิจมูลค่ากว่า 790,000 ล้าน ในท้ายที่สุดแล้วคนที่ได้ประโยชน์คือ นายทุนรายใหญ่ ผู้ประกอบการสตาร์ตอัพ อย่างมากก็ได้ยืดอายุการเป็นผู้ประกอบการต่อไปอีกระยะ

ประเทศเรามีหนี้สาธารณะนับ 10 ล้านล้าน การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่สวนทางกับความเป็นอยู่ของคนในประเทศ ที่ต้องดิ้นรนหาเช้ากินค่ำกันต่อไป คนจนกระจุก คนรวยกระจายมากที่สุดชัดเจนที่สุดในยุคนี้

ประสิทธิภาพของทีมเศรษฐกิจรัฐบาลชุดนี้ นับตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจลงมา ชอบแก้ปัญหาชนิดกำปั้นทุบดิน เข้าตาจนโยนภาระให้ประชาชน ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

ประชาชนตาดำๆต้องรับกรรมไปตามระเบียบ.

หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th