ครม. รับทราบสรุปภาพรวมสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการเดือน ม.ค. 65 ชี้ “สินค้าพลังงาน” เป็นสาเหตุสำคัญต่อเงินเฟ้อที่สูงขึ้น คาด ครึ่งปีหลังราคาน้ำมันเชื้อเพลิงตลาดโลกปรับตัวลดลง

วันที่ 15 มี.ค. 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ มีมติรับทราบสรุปภาพรวมสถานการณ์ราคาสินค้าและบริการประจำเดือน ม.ค. 2565 ตามที่กระทรวงพาณิชย์ (พณ.) เสนอ โดยมีสาระสำคัญ

เรื่องแรก สถานการณ์ราคาสินค้าและบริการเดือน ม.ค. 2565 ดัชนีราคาผู้บริโภคอยู่ในระดับ 103.01 เป็นผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือน ม.ค. 2565 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน สูงขึ้นร้อยละ 3.23 (YoY) จากร้อยละ 2.17 ในเดือนก่อนหน้า เงินเฟ้อที่ปรับสูงขึ้นในเดือนนี้เป็นเงินเฟ้อระดับปานกลางที่ค่อนข้างต่ำเกือบเป็นเงินเฟ้ออ่อนหากพิจารณาสถานการณ์เงินเฟ้อทั่วโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา สูงขึ้นร้อยละ 7.0 (YoY) สหราชอาณาจักรสูงขึ้นร้อยละ 5.4 (YoY) อินเดีย สูงขึ้นร้อยละ 5.59 (YoY) เกาหลีใต้ สูงขึ้นร้อยละ 3.7 (YoY) และฟิลิปปินส์ สูงขึ้นร้อยละ 3.6 (YoY) (อัตราเงินเฟ้อของแต่ละประเทศอาจจะไม่สามารถเปรียบเทียบกันได้โดยตรง เนื่องจากแต่ละประเทศมีปัจจัยเศรษฐกิจที่เกี่ยวข้องแตกต่างกัน)

ทั้งนี้ อัตราเงินเฟ้อของไทยยังถือว่ามีความเหมาะสมภายใต้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ และคาดว่าจะเป็นการสูงขึ้นเพียงชั่วคราว เนื่องจากคาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังราคาน้ำมันเชื้อเพลิงในตลาดโลกจะปรับตัวลดลงตามอุปทานที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ระดับราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศปรับตัวลดลง รวมถึงคาดว่าปัญหาการขาดแคลนตู้สินค้าเปล่าและแรงงานจะสามารถคลี่คลายได้ในช่วงครึ่งปีหลังเช่นกัน

สำหรับสาเหตุสำคัญที่ทำให้เงินเฟ้อในเดือน ม.ค. 2565 เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 3.23 (YoY) คือ สินค้าในกลุ่มพลังงาน ที่ส่งผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อเงินเฟ้อ โดยสินค้ากลุ่มพลังงานมีผลต่อการสูงขึ้นของเงินเฟ้อถึงร้อยละ 2.25 เมื่อเทียบกับสินค้าในกลุ่มอาหารสด อาทิ เนื้อสุกร ไก่สด และไข่ไก่ ส่งผลต่อเงินเฟ้อน้อยมาก โดยเนื้อสุกร มีผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้นเพียงร้อยละ 0.67 ไก่สด มีผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้นเพียงร้อยละ 0.03 และไข่ไก่ มีผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้นเพียงร้อยละ 0.05

...

นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอื่นๆ ที่ปรับราคาสูงขึ้นเล็กน้อยตามต้นทุน (ค่าวัตถุดิบ ค่าขนส่ง และค่าจ้างแรงงาน) จึงส่งผลต่อเงินเฟ้อไม่มากนัก อาทิ น้ำมันพืช อาหารบริโภคในบ้าน-นอกบ้าน และค่าบริการส่วนบุคคล อีกทั้งจากการที่อัตราเงินเฟ้อในเดือน ม.ค. 2565 เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 3.23 (YoY) เพราะฐานราคาเดือนเดียวกันของปี 2564 ค่อนข้างต่ำ

ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า สินค้าในกลุ่มพลังงาน โดยเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิง ที่สูงขึ้นร้อยละ 27.89 (YoY) ส่งผลให้เงินเฟ้อในเดือนนี้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่สินค้ากลุ่มอาหาร เพิ่มสูงขึ้นเพียงร้อยละ 2.39 (YoY) จึงยังไม่ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้อัตราเงินเฟ้อของไทยเพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับสินค้าในกลุ่มพลังงาน อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าสำคัญหลายรายการที่ปรับลดลง อาทิ ข้าวสารเหนียว ข้าวสารเจ้า ผักสด ผลไม้สด เสื้อผ้า ค่าเช่าบ้าน และค่าเล่าเรียน ส่งผลให้เงินเฟ้อของไทยขยายตัวในระดับที่ไม่สูงมากนัก

ขณะเดียวกัน เงินเฟ้อที่สูงขึ้นในเดือน ม.ค.นี้ สอดคล้องกับเครื่องชี้วัดเศรษฐกิจสำคัญหลายตัวที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านอุปสงค์ ได้แก่ ยอดการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ปริมาณนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ปริมาณรถจักรยานยนต์จดทะเบียนใหม่ และการส่งออกสินค้าที่ยังคงขยายตัวได้ดี ด้านอุปทาน ได้แก่ กำลังการผลิตดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ดัชนีการจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง และยอดการจัดเก็บภาษีธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น

พร้อมกันนี้ ยังสอดคล้องกับดัชนีราคาผู้ผลิต ที่สูงขึ้นร้อยละ 8.7 (YoY) จากร้อยละ 7.7 ในเดือนก่อนหน้า และดัชนีราคาวัสดุก่อสร้าง ที่สูงขึ้นร้อยละ 6.1 (YoY) จากร้อยละ 8.9 ในเดือนก่อนหน้า ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวม ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 44.6 จากระดับ 47.0 ในเดือนก่อนหน้า

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของแนวโน้มเงินเฟ้อทั่วไปเดือน ก.พ. 2565 คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นอีก สอดคล้องกับสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งด้านอุปสงค์และอุปทานทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงขายปลีกในประเทศที่ปรับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามราคาในตลาดโลก ประกอบกับราคาฐานของเดือนเดียวกันในปีที่ผ่านมายังอยู่ในระดับต่ำ ต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นตามค่าวัตถุดิบ ค่าขนส่ง ค่าจ้างแรงงาน และยกเลิกการยกเว้นการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปี 2565 ซึ่งจะส่งผลต่อภาคการผลิตและราคาขายปลีกสินค้าและบริการในลำดับต่อไป.