นับแต่มีการรัฐประหาร ยึดอำนาจรัฐบาลเลือกตั้งมาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่รัฐประหาร 2549 โดยคณะ คมช.และรัฐประหาร 2557 โดย คสช. องค์กรต่างประเทศให้ประเทศไทยสอบตกซํ้าซากในเรื่องความเป็นประชาธิปไตยหรือสิทธิมนุษยชน เช่น สหรัฐอเมริกาไม่เชิญผู้นำไทยเข้าร่วมผู้นำ 100 ประเทศ

ใน “การประชุมสุดยอดเพื่อประชาธิปไตย” โดยไม่แจ้งเหตุผล ทั้งๆที่ประเทศไทยก็มีโครงสร้างการปกครอง เหมือนกับประเทศประชาธิปไตยทั่วโลก ไทยมีรัฐธรรมนูญในอันดับต้นๆของโลก มีพรรคการเมืองอาจมากที่สุดในโลก และ มีการเลือกตั้งไม่น้อยหน้าใคร แต่สอบตกในสายตาประธานาธิบดีโจ ไบเดน

ตามด้วยการสอบตกจากการจัด “ดัชนีประชาธิปไตย” ของนิตยสาร “ดิ อีโคโนมิสต์” ชื่อดังของอังกฤษ ล่าสุดสอบตกในการจัด “ดัชนีเสรีภาพของโลก” โดยองค์กรชื่อดังที่เรียกว่า “ฟรีดอม เฮาส์” ที่แบ่งโลกเป็นกลุ่มมีเสรีภาพ กึ่งเสรีภาพ และกลุ่มไม่มีเสรีภาพ ระบุว่าเสรีภาพของไทยปี 2564 ตกตํ่า

ประเทศไทยได้คะแนนในหัวข้อ “สิทธิทางการเมือง” เพียง 5 ใน 40 และ ได้คะแนน 24 ใน 60 ในเรื่องสิทธิเสรีภาพพลเมือง รวมทั้งสองรายการได้คะแนนรวม 29 ใน 100 ผู้จัดไม่ได้วัดด้วยเสรีภาพการเมืองอย่างเดียว แต่วัดด้วยเสรีภาพของสื่อมวลชน และเสรีภาพสื่อทางอินเตอร์เน็ต สื่อยอดนิยมโลกปัจจุบัน

คนที่เห็นว่าไทยสอบตกเรื่องเสรีภาพ ไม่ได้มีแค่โลกตะวันตก แม้แต่นักวิชาการไทยก็มีความเห็นคล้ายกัน ตัวอย่างเช่น บทวิเคราะห์เรื่อง “ทศวรรษแห่งความ สูญเปล่า” ของ ดร.สุวิทย์ เมษินทรีย์ อดีตรัฐมนตรีอุดมศึกษาฯ ที่ “ลม เปลี่ยนทิศ” เผยแพร่ใน “ไทยรัฐ” ระบุว่า สังคมไทย “ไม่สะอาดและโปร่งใส ไม่เสรีและยุติธรรม”

...

ดร.สุวิทย์ได้สำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูง ทั้งภาครัฐและเอกชน ด้วยการถามว่า “อนาคตของประเทศไทยใน 5 ปีข้างหน้า จะไปในทิศทางใด” เสียง ส่วนใหญ่ 63% ระบุว่าอนาคตจะมืดมนหรือค่อนข้างมืดมน 23% เห็นว่าจะไม่ต่างจากปัจจุบัน มีเพียง 9% ที่เชื่อว่าอนาคตจะสดใส นับเป็นเรื่องที่น่ากังวลยิ่ง

จากการติดตามการเมืองไทยขณะนี้ รัฐบาลที่จะบริหารประเทศต่อไปอีก 5 ปี น่าจะเป็นรัฐบาลเดิม ที่พยายามสืบทอดอำนาจทุกวิถีทาง แม้จะขาดเสียงข้างมากมั่นคงยั่งยืนเชื่อถือได้ และแม้จะเป็นรัฐบาลที่มีส่วนในการทำให้เกิด “ทศวรรษแห่งความสูญเปล่า” แต่ไม่เคยคิดสร้างสังคมที่สะอาด โปร่งใส เสรีและยุติธรรม.