"สมศักดิ์" แจงกระทรวงยุติธรรม ไม่เคยมีอำนาจเหนือศาล-แก้ไขเปลี่ยนแปลงโทษไม่ได้ ยันทำทุกอย่างตามกรอบกฎหมาย ชี้หลักการลงโทษเพื่อป้องปราม-แก้ไขผู้ทำผิดตามหลักของนานาประเทศ เชื่อความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายไม่ใช่ความรุนแรง แต่อยู่ที่การยั้บยั้งการทำผิ

เมื่อวันที่ 9 ธ.ค.64 นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีที่ นายสมชาย แสวงการ สมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ตั้งคำถามถึงกรณีที่กรมราชทัณฑ์และกระทรวงยุติธรรม (ยธ.) มีอำนาจเหนือคำพิพากษาศาลฎีกาหรือไม่ว่า การบริหารโทษและการพิพากษากำหนดโทษเป็นคนละส่วนกัน ภายใต้กรอบอำนาจที่แบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย คือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ภายใต้อำนาจตามกฎหมายของแต่ละฝ่าย ซึ่งการบังคับโทษทางอาญา คือ การบริหารโทษ เป็นอำนาจของฝ่ายบริหาร ที่ดำเนินการได้ภายใต้กรอบของกฎหมาย ไม่ได้เป็นการใช้อำนาจโดยพลการหรือเลือกปฏิบัติให้ผู้หนึ่งผู้ใด แต่เป็นการใช้อำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่มีอยู่ ทั้งที่ปรากฎในรัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ สำหรับพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ เป็นกฎหมายของกระทรวงยุติธรรมไม่ได้มีอำนาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขโทษ รวมถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมก็ไม่มีอำนาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงโทษเช่นกัน 

"การบังคับโทษโดยปกติในทางปฏิบัติแล้ว ไม่มีประเทศไหนในโลกที่จะบังคับโทษทั้งสิ้นตามคำพิพากษา แต่จะมีกลไกทางกฎหมายอื่นๆมาบริหารโทษให้เป็นไปตามความเหมาะสม เช่น  ลักษณะและพฤติการณ์แห่งคดี โดยมุ่งเน้นให้ผู้กระทำผิดได้รับโอกาสให้กลับตนเป็นพลเมืองที่ดี พร้อมกลับคืนสู่สังคมได้อย่างปกติสุข ขอให้ลองนึกภาพย่อลงมาในระดับครอบครัว เชื่อว่าไม่มีพ่อและแม่คนใดที่จะที่ลงโทษลูกจนครบ หรือตีลูกจนบาดเจ็บล้มตาย ส่วนมากก็จะเอาแต่พอสมควร คือ การให้อภัย การให้โอกาส เพื่อให้คนในครอบครัวได้อยู่อย่างปกติสุข  วัตถุประสงค์ของการลงโทษคือการป้องปราม ยับยั้งการกระทำ และการแก้ไขผู้กระทำผิด การลงโทษจึงมีหลากหลายวิธีทั้งในเรือนจำและนอกเรือนจำ รวมทั้งการลงโทษทางสังคมทางชื่อเสียงเกียรติยศ ที่ผู้กระทำผิดและครอบครัวได้รับไปแล้วส่วนหนึ่ง โดยเชื่อว่าความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย ไม่ได้อยู่ที่ความรุนแรง หรือการลงโทษสูงเป็นสำคัญ แต่จะอยู่ที่ความแน่นอนและรวดเร็วของการลงโทษ ที่จะมีผลยับยั้งการกระทำความผิดมากกว่า" นายสมศักดิ์ กล่าว

...

นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า การบริหารโทษตามอำนาจหน้าที่ภายใต้กรอบกฎหมายของกระทรวงยุติธรรมนั้น มีความหลากหลายทั้งในเรือนจำและนอกเรือนจำ คือ การคุมประพฤติและติดอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามตัว หรือกำไล EM และการดำเนินการเป็นไปโดยเสมอหน้ากัน ไม่ได้มีการเลือกปฏิบัติให้ผู้ใดผู้หนึ่ง ผู้ต้องโทษทุกคดีทุกรายจะได้รับการบริหารโทษอย่างเท่าเทียมกัน ภายใต้หลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ส่วนการพระราชทานอภัยโทษนั้น เป็นกลไกหนึ่งของกระบวนการยุติธรรม ที่พระมหากษัตริย์ไทยทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อผู้ต้องราชทัณฑ์ ซึ่งเป็นประเพณีที่สืบทอดอยู่ในสังคมไทยมาช้านาน บนพื้นฐานของหลักเมตตาและกรุณาอันมาจากองค์อธิปัตย์หรือประมุขแห่งรัฐ ตนขอยืนยันว่าเราได้ดำเนินการตามหลักกฎหมายที่มุ่งให้โอกาสแก่ผู้กระทำความผิด ให้ได้กลับตนเป็นพลเมืองดีที่เคารพกฎหมายในสังคม ด้วยความเสมอภาค เท่าเทียม และไม่เลือกปฏิบัติ ซึ่งการบริหารโทษของกรมราชทัณฑ์นั้น เป็นไปตามหลักทัณฑวิทยาที่นานาอารยประเทศได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาพฤตินิสัย และให้โอกาสผู้พลั้งพลาดในการกลับตัวสู่สังคม