รมว.ยุติธรรม ตอบกระทู้ ส.ว. ผลงานลดคนล้นคุก ขยายพื้นที่นอนเป็น 1.6 ตร.ม.ต่อคน แจงสถานการณ์โควิดในเรือนจำ-ได้วัคซีนครบแล้ว เปิดเยี่ยมญาติได้ 38 แห่ง ทยอยเปิดครบเดือน ธ.ค.นี้ ย้ำนโยบายนายกฯ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เร่งสร้างงาน-อาชีพ ลดการทำผิดซ้ำ
เมื่อวันที่ 22 พ.ย. 64 ที่รัฐสภา มีการประชุมวุฒิสภา ที่มี พล.อ.สิงห์ศึก สิงห์ไพร รองประธานวุฒิสภา เป็นประธานในการประชุม เพื่อพิจารณากระทู้ถามสด โดยนายวันชัย สอนศิริ ส.ว. ตั้งกระทู้ถาม นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม ว่า ตนขอตั้งกระทู้ถามตั้งแต่ท่านเข้ามาเป็นรัฐมนตรีใหม่ๆ ได้ประกาศชัดว่าจะแก้ปัญหาสถานการณ์ผู้ต้องขังล้นเรือนจำให้ได้ ตนเฝ้ามองอยู่ และอยากทราบการดำเนินการของท่านว่า ขณะนี้ได้แก้ปัญหานี้ไปอย่างไร ด้วยวิธีใดบ้าง และที่สำคัญมาตรการที่ไม่ทำให้คนกลับมาติดคุกอีก มีนโยบายการดำเนินการไปแล้วอย่างไรหรือไม่ และการดูแลผู้ต้องขังในเรือนจำ การใช้ชีวิต การนอน มีการแก้ปัญหาอย่างไร มีการบำบัดอย่างไรบ้าง ประการต่อมาคือเรื่องของโควิด-19 ภายในเรือนจำ ที่ผ่านมาสถานการณ์แรงมาก ท่านได้แก้ไขอย่างไร และมีการเปิดให้เยี่ยมญาติไปบ้างหรือยัง นี่คือสิ่งที่ท่านรัฐมนตรีต้องชี้แจงให้สังคมได้รับรู้ เพราะเป็นเรื่องที่เร่งด่วน
ด้าน นายสมศักดิ์ กล่าวชี้แจงว่า นายกรัฐมนตรีมีบัญชาอย่างชัดเจนว่า กระทู้หรือญัตติต่างๆ หากไม่จำเป็นรัฐมนตรีต้องมาตอบ ไม่ควรจะเลื่อน ในคำถามของ นายวันชัย นั้นตนขอชี้แจงว่า ก่อนที่ตนจะเข้ามาเป็นรัฐมนตรี มีผู้ต้องขังประมาณ 390,000 คน ล้นจนขนาดที่เราเปรียบเทียบว่า พื้นที่นอนของผู้ต้องขังน้อยกว่าโลงศพ ต้องนอนทับกันเกยกัน วันนี้เราได้แก้ปัญหาโดยใช้แนวทาง คือ 1.สร้างระเบียบที่สอดคล้องกับ พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ เพิ่มการใช้กำไล EM ใช้กับผู้ต้องขังที่เหลือโทษไม่มาก ความประพฤติเรียบร้อย คดีไม่ร้ายแรง เราจะให้สิทธิ์การพักโทษด้วยเหตุพิเศษ ขณะนี้มีผู้ใช้กำไล EM ไปแล้วประมาณ 80,000 คน 2.การขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งทั้ง 2 ส่วนนี้เราได้แบ่งกลุ่มนักโทษเป็น 3 ส่วน คือ เทวดาตกสวรรค์ ขุนแผนติดคุก และสุดท้ายคือ พวกบัวใต้ตม ที่เป็นส่วนของคดีร้ายแรง เช่น ฆ่าข่มขืน ฆาตกรโรคจิต นักค้ายาเสพติดรายใหญ่ ซึ่งพวกบัวใต้ตมจะไม่ได้รับสิทธิพิเศษใดๆ โดยเรากำลังร่างกฎหมายป้องกันการกระทำผิดซ้ำในคดีอุกฉกรรจ์ หรือที่เรียกว่า JSOC ที่จะช่วยดูแลและป้องกันสังคมจากคนกลุ่มนี้
...
นายสมศักดิ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ผู้ต้องขังในเรือนจำลดเหลือประมาณ 280,000 ราย ขยายพื้นที่นอนได้เป็น 1.2 ตร.ม.ต่อคน และเรากำลังขยายให้เป็น 1.6 ตร.ม.ต่อคน และมีการนำร่องใช้ที่นอนใน 2 เรือนจำ คือ เรือนจำพิเศษกรุงเทพ และทัณฑสถานหญิงกลาง ในส่วนของสถานการณ์โควิดฯ เราได้วัคซีนครบแล้ว เข็มแรกฉีดได้ 90% เข็มสอง 80% เหตุที่เรายังฉีดได้ไม่ครบ 100% นั้น เพราะเราต้องรอผู้ต้องขังที่ติดเชื้อที่หายแล้ว ต้องรอระยะเวลาในการฉีด นอกจากนี้เรามีแนวทางของการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรในการช่วยป้องกันและรักษาโรคด้วย ส่วนการเปิดเยี่ยมญาตินั้นเราได้เริ่มตั้งแต่วันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา จนถึงขณะนี้เปิดเยี่ยมแล้ว 38 เรือนจำ จะเปิดเพิ่มภายในสิ้นเดือนนี้อีก 8 แห่ง ที่เหลือ 97 แห่ง จะทยอยเปิดภายในเดือน ธ.ค.นี้ โดยมาตรการการเยี่ยมจะเปิดให้ลงทะเบียบจองคิว และมีมาตรการควบคุมอย่างเข้มข้น ผู้เข้าเยี่ยมต้องฉีดวัคซีนแล้ว 2 เข็ม มีการรักษาระยะห่าง และทำความสะอาดห้องเยี่ยมทุกครั้งหลังเยี่ยมเสร็จ
"ที่ผ่านมาคนที่ถูกปล่อยตัวจะกลับเข้าเรือนจำประมาณ 35% หากเราไม่สามารถยับยั้งการกลับมาทำผิดได้ จะไม่เกิดประโยชน์ ซึ่งคนที่ทำผิดซ้ำส่วนแรก คือ คดียาเสพติด เราต้องปราบให้ได้ และเราได้มีประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่แล้ว และอีกส่วน คือ คนที่ไม่มีงานทำ รัฐบาลเคยให้ผู้ประกอบการที่รับอดีตผู้ต้องขังทำงาน จะลดภาษีให้ แต่ไม่ได้ผลเท่าไร ดังนั้นเราต้องเตรียมพร้อมก่อนปล่อย เช่น สมุทรปราการโมเดล ส่งผู้พักโทษไปทำงานงานกับโรงงานอุตสาหกรรม และล่าสุดการทำ MOU กับบริษัทเดินเรือสินค้า และเรายังให้ผู้ต้องขังเรียนคณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นการยกระดับสกิล โดยสเตปต่อไปคือการทำนิคมอุตสาหกรรมราชทัณฑ์ ที่นายกฯ ให้หน่วยงานต่างๆ สนับสนุน เพราะท่านมีนโยบายไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ต้องให้โอกาสผู้คนมีงานทำ ซึ่งในส่วนของแรงงานของผู้ต้องขังจะมีรายได้เป็นแสนล้านต่อปี จะช่วยเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ และลดค่าใช้จ่ายในเรือนจำได้อีกหลายพันล้านบาท" นายสมศักดิ์ กล่าว.