"เด็กพรรคกล้า" ชี้ ประชาธิปัตย์มือไม่ถึงบริหารงานกระทรวงเกษตรฯ และมีโอกาสพิสูจน์ฝีมือ แต่กลับนำพาเกษตรไทยไร้อนาคต ยึดติดกับกรอบคิดเดิมๆ เพื่อนำไปชูภาพพ่อพระผู้นำเงินไปให้ยามลำบาก


เมื่อวันที่ 15 พ.ย.64 นายอริย์ธัช ชาติอาริยะพงศ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พรรคกล้า เขตสวนหลวง-ประเวศ กล่าวว่า รู้สึกแปลกใจมากที่สถานการณ์การเกษตรของไทยเข้าสู่ยุคตกต่ำแข่งขันกับโลกไม่ได้ ภายในก็ลำบาก กระทั่งข้าวที่เคยเป็นความภาคภูมิใจราคายังถูกกว่ามาม่า แม้ในภาพรวมผู้รับผิดชอบต่อความล้มเหลวจะต้องเป็นรัฐบาล แต่ในกรณีนี้พรรคประชาธิปัตย์ควรจะต้องเป็นจำเลยที่หนึ่ง

"ในสภาพรัฐบาลผสม พรรคประชาธิปัตย์มีอำนาจต่อรองในรัฐบาลสูงมากจึงได้คุมกระทรวงสำคัญที่เกี่ยวกับการเกษตร สามารถออกแบบนโยบายได้ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ได้แก่ กระทรวงพาณิชย์ ที่มีนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรค เป็นเจ้ากระทรวง และกระทรวงเกษตรฯ ที่มีนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรค เป็นเจ้ากระทรวง จะเห็นว่ามีบุคคลระดับแกนนำพรรคมาเป็นผู้ดูแลทั้งฝั่งการผลิตคือเกษตรกร และฝั่งการค้าขายคือพาณิชย์ แต่ผ่านมาแล้วกว่า 2 ปีแล้ว ไม่เห็นว่าชีวิตเกษตรกรไทยจะมีอะไรดีขึ้น มีแต่จะแย่ลง และราคาปุ๋ยกำลังทะลุเพดานเกษตรกรจะปากกัดตีนถีบ ชีวิตจะบัดซบไปมากกว่านี้ ท่านได้เตรียมแนวทางป้องกันหรือยัง"

นายอริย์ธัช กล่าวต่อว่า สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ อาจเป็นเพราะนายจุรินทร์ มือไม่ถึง ไม่มีวิสัยทัศน์ในการต่อยอดเศรษฐกิจการเกษตรเพื่อเพิ่มมูลค่าได้ ในด้านการบริหารจัดการที่ควรบูรณาการแบบองค์รวมก็ไม่รู้ว่าหัวหน้าพรรคกับเลขาฯ เคยวางแผนร่วมกันหรือไม่ เราจึงมองไม่เห็นศักยภาพใดๆ เลยที่เกิดจากบริหารสองกระทรวงใหญ่ของสองแกนนำพรรคประชาธิปัตย์

"ผ่านมาแล้ว 2 ปี เราได้ยินคำว่าตลาดนำการเกษตร ได้ยินว่ามีแผนยุทธศาสตร์ข้าว 5 ปี ก็จริง ซึ่งนอกจากล่าช้าและควรคิดมานานแล้วก็ยังมีปัญหาว่าไม่รู้ว่าจะทำได้จริงหรือไม่ หรือสุดท้ายจะเป็นแค่รายงานชื่อสวยๆ ที่ราชการชงมาอีกฉบับเท่านั้น เพราะวิธีการทำงานของพรรคประชาธิปัตย์คือระบบราชการนำบริหาร เน้นว่ากันไปตามที่ระบบราชการ แต่ไม่ได้ใช้อำนาจบริหารที่มีไม่ได้เข้าไปจัดการเพื่อเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ยึดติดกับกรอบคิดเดิมๆ อย่างการประกันราคา เพื่อจะได้นำไปชูภาพพ่อพระผู้นำเงินไปให้ยามลำบาก แต่ในส่วนที่ควรรีบทำให้สำเร็จในฐานะผู้บริหาร เพื่อเปลี่ยนภูมิทัศน์ของเกษตรกรไทยกลับไม่ทำ"

...

นายอริย์ธัช กล่าวว่า ไม่ว่าโลกเปลี่ยนไปขนาดไหน มีนวัตกรรมใหม่มากมายเพียงใดที่สามารถนำมายกระดับวงการเกษตรได้ ประชาธิปัตย์ยังยึดในความคิดดั้งเดิม ยังทำงานแบบรอรับรายงาน เราจึงไม่เห็นความพยายามที่จะทำให้ชุมชนมีเครื่องอบและสีข้าว เพื่อตัดปัญหาความชื้นและถูกกดราคา ทั้งยังสามารถต่อยอดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นได้ แต่เราก็ยังเห็นนายจุรินทร์ไปตอบกับสภาเพื่อปกป้องการกดราคาด้วยความชื้นว่าจะทำให้ชาวนาผลิตข้าวไม่มีมาตรฐาน เช่นเดียวกับราคาปุ๋ยที่แพงก็กลับปล่อยให้เป็นภาระของชาวนา เน้นทำงานเฉพาะหน้า พอเขาว่าแพงก็ผลิตปุ๋ยราคาถูกออกมาได้ 4.5 ล้านกระสอบซึ่งไม่พอ และไม่รู้ใครได้บ้าง แต่ชาวนาจำนวนมากเข้าไม่ถึงการลดต้นทุนเหล่านี้ ซึ่งปัญหามีมาตั้งแต่ต้นปีก็ควรที่จะเตรียมพร้อมแก้ปัญหาตั้งนานแล้ว

"ท่านเป็นถึงรัฐมนตรีต้องเอาศาสตร์พระราชามาใช้ได้สิครับ การแก้ปัญหาต้องยื่นเบ็ดตกปลาให้ทำมาหากินได้ยั่งยืน ไม่ใช่คิดแต่การนำเงินมามอบเพื่อแก้ปัญหาจนคลังต้องออกมาเตือนกลายเป็นรอยร้าวระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลเข้าไปอีก เหมือนบางคนอยากเอาหน้า แต่คนหาเงินเขาไม่ไหวก็เลยเห็นการกระแทกกลับกันแรงๆ แบบนี้ออกมา ถ้าเราได้ดูแลเรื่องการเกษตร อย่างน้อยที่สุดทุกชุมชนเกษตรต้องมีเครื่องอบและเครื่องสีข้าว ต้องลดต้นทุนราคาปุ๋ย ต้องมีการปลดล็อกกฎหมายล้าหลังเพื่อเปิดทางให้เกิดเศรษฐกิจใหม่ๆ อย่างข้าวสามารถเพิ่มมูลค่าได้อีกถ้ากลายเป็นสุราชุมชน สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่แค่ภูมิปัญญา แต่คือมูลค่าที่เราสามารถสนับสนุนได้ เป็น Soft Power ที่เราเห็นพลังของมันชัดเจนอยู่แล้วจากซีรีส์เกาหลีหรือญี่ปุ่น ขอเพียงแค่ต้องมีความกล้าพอที่มากพอของผู้ดูแลทิศทางเกษตรและพาณิชย์ที่จะไปปลดล็อกข้อจำกัดเหล่านี้" นายอริย์ธัช ระบุ