กทม.จ่อปรับแผนจัดการขยะ ยืดเวลาฝังกลบ 3 ปี เหตุ 2 โครงการกำจัดขยะผลิตไฟฟ้า อ่อนนุช-หนองแขม ล่าช้า ด้านเอกชน ระบุ ความล่าช้าทำต้นทุนโครงการพุ่ง ขอความเป็นธรรม

วันที่ 5 ต.ค. 64 นายชาตรี วัฒนเขจร รองปลัดกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงแนวทางการบริหารจัดการขยะของ กทม. ว่า ในปี 2565 มีแนวทางลดการฝังกลบลงจาก 80% เหลือ 30% เนื่องจากปัจจุบันพื้นที่ฝังกลบหายาก และต้องการลดผลกระทบกับชุมชน รวมถึงลดปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยพยายามยึดหลักกำจัด ณ แหล่งกำเนิด โดย กทม.มีแผนกำจัดขยะโดยใช้เทคโนโลยีเตาเผาผลิตไฟฟ้า ซึ่งมีข้อดีหลายประการ ช่วยกำจัดขยะให้หมดไปอย่างรวดเร็ว และมีไฟฟ้าเป็นผลพลอยได้เข้าระบบของประเทศ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการนำร่องที่ศูนย์กำจัดมูลฝอยหนองแขม และพบว่ามีประสิทธิภาพ สามารถกำจัดขยะได้ประมาณ 500 ตันต่อวัน ผลิตไฟฟ้าได้ 10 เมกะวัตต์

นายชาตรี วัฒนเขจร รองปลัดกรุงเทพมหานคร
นายชาตรี วัฒนเขจร รองปลัดกรุงเทพมหานคร

...

ต่อมา กทม.ได้ขยายโครงการนำขยะผลิตไฟฟ้า ณ ศูนย์กำจัดมูลฝอยอ่อนนุช และส่วนที่เหลือของศูนย์กำจัดมูลฝอยหนองแขม เป็นเตาเผามูลฝอย ขนาดไม่เกิน 1,000 ตันต่อวัน กำลังผลิตไฟฟ้า 30 เมกะวัตต์ต่อแห่ง ซึ่งตามแผนกำหนดแล้วเสร็จภายในปี 2565 นอกจากนี้ยังมีแผนทำโครงการลักษณะเดียวกัน ณ ศูนย์กำจัดขยะมูลฝอยสายไหม ขนาด 1,000 ตันต่อวัน เป็นโครงการต่อไป

การกำจัดขยะผลิตไฟฟ้าเป็นโครงการที่สามารถจัดการขยะได้รวดเร็วและเบ็ดเสร็จ เหมาะกับขยะชุมชนในประเทศไทย ซึ่งเป็นขยะเปียก มีความชื้นสูงถึง 60% และต้นทุนไม่สูงนัก ส่วนเทคโนโลยีเตาเผาเพื่อผลิตไฟฟ้า กทม.ได้มีการพิจารณามาอย่างรอบคอบ ป้องกันผลกระทบสิ่งแวดล้อมในเมือง เทียบกับการนำขยะมาทำเป็นเชื้อเพลิง (RDF), การรีไซเคิล หรือการทำปุ๋ยหมัก ซึ่งจะมีกองขยะส่วนที่เหลือต้องบริหารจัดการอีกทอดหนึ่ง อีกประการหนึ่งขยะชุมชนบางส่วนที่เพิ่มขึ้นจากการระบาดของโควิด-19 เช่น หน้ากากอนามัย หรือแพ็กเกจจิ้งอาหารต่างๆ ก็สามารถนำมากำจัดที่โครงการฯอ่อนนุช และหนองแขมได้ด้วย

อย่างไรก็ตาม แม้ทั้ง 2 โครงการจะเกิดประโยชน์อย่างมาก แต่ยังไม่สามารถเดินหน้าได้ เนื่องจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ยังไม่ออกระเบียบรับซื้อไฟฟ้า และประกาศรับซื้อไฟฟ้ามารองรับตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) 31 พฤษภาคม 2560 และ กกพ.ยังมีแนวทางจะทบทวนโครงการฯ ใหม่ด้วย โดยเฉพาะอัตรารับซื้อไฟฟ้าจากขยะของ 2 โครงการ ที่กำหนดไว้อัตรา 3.66 บาทต่อหน่วยบวกเงินเฟ้อ ผลกระทบที่เกิดขึ้นทำให้ภาคเอกชนที่ผ่านการประมูลโครงการ และลงนามสัญญากับ กทม. เมื่อปี 2562 ไม่สามารถก่อสร้างได้จนถึงปัจจุบัน และหลายเรื่องที่ผ่านกระบวนการต่างๆ ก็กำลังจะหมดอายุลงในเดือนตุลาคมนี้ เช่น รายงานประมวลหลักการปฏิบัติ (Code of Practice: CoP) ซึ่งผ่านการรับฟังความเห็นจากประชาชนแล้ว ทั้งนี้ความเสียหายจากโครงการที่ล่าช้ามาหลายปี ทำให้ กทม.ต้องปรับแผนการจัดการขยะใหม่ทั้งหมด โดยต้องเลื่อนแนวทางลดสัดส่วนการฝังกลบให้เหลือ 30% ออกไปกว่า 3 ปี จนกว่าโครงการฯ ที่อ่อนนุช และหนองแขม จะเกิดขึ้นได้ และต้องจัดงบประมาณใหม่ในการจ้างเอกชนขนส่ง และฝังกลบ ซึ่งเป็นงบประมาณที่เพิ่มขึ้นทุกปี ขณะเดียวกัน แผนการนำขยะมาผลิตไฟฟ้าที่สายไหม ซึ่งเตรียมของบประมาณก็ถูกชะลอออกไปเช่นเดียวกัน

ความล่าช้าที่เกิดขึ้นจนสร้างความเสียหายอย่างต่อเนื่อง กทม.ไม่ได้เพิกเฉย มีหนังสือสอบถามไปยัง กกพ. ขณะเดียวกันหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องก็ได้ประสานงานไปที่ กกพ.รวมหลายครั้ง จนล่าสุดได้มีการจัดประชุมหารือกับ กกพ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของกระทรวงพลังงาน เพื่อร่วมกันแก้ปัญหา โดย กทม.ยืนยันถึงความสำคัญที่โครงการฯ อ่อนนุช และหนองแขม ต้องเดินหน้าต่อไปตามแผนเดิม เพราะโครงการฯ ผ่านกระบวนการต่างๆ มาหมดแล้ว

ส่วนภาคเอกชนผู้ดำเนินโครงการ ทราบว่า กำลังเดินหน้าเรียกร้องความเสียหาย เนื่องจากความล่าช้าและการที่ กกพ.จะทบทวนอัตรารับซื้อไฟฟ้าใหม่ กระทบในหลายเรื่องเป็นลูกโซ่กับแผนการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะแผนด้านการเงินที่ทำกับสถาบันการเงิน เพราะอัตรารับซื้อไฟฟ้าที่ 3.66 บาทต่อหน่วย บวกอัตราเงินเฟ้อ ประมาณ 3% ต่อปีนั้น ภาคเอกชนใช้เป็นฐานในการประกวดราคา และยังผูกโยงกับค่ากำจัดขยะมูลฝอย (Tipping fee) ด้วย ซึ่งการนำขยะมาผลิตไฟฟ้าจะช่วยให้ค่าจัดการขยะไม่เพิ่มขึ้น หรือคงที่ไปตลอด 20 ปีของโครงการฯ ที่อัตรา 789 บาทต่อตัน สำหรับโครงการฯ อ่อนนุช และ 775 บาทต่อตัน ที่โครงการฯ หนองแขม เทียบกับการที่ไม่มีโครงการนำขยะมาผลิตเป็นไฟฟ้า ค่าขนส่งและฝังกลบไปอีก 20 ปี จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 535บาทต่อตัน ไปอยู่ที่ 1,295 บาทต่อตันที่หนองแขม และเป็น 1,338 บาทต่อตันที่อ่อนนุช

ดังนั้นจึงเห็นว่า กกพ.ควรเร่งออกระเบียบรับซื้อไฟฟ้า เพื่อให้ 2 โครงการเดินหน้าได้ หากจะมีการทบทวนแผน หรือเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ใดๆ ก็ตาม ควรดำเนินการกับโครงการอื่นๆ ที่เกิดขึ้นภายหลัง เพื่อความยุติธรรมกับทุกๆ ฝ่าย ทั้งภาคเอกชนที่ผ่านกระบวนการประกวดราคามาแล้ว และหลีกเลี่ยงการที่หน่วยงานรัฐจะถูกฟ้องร้องในภายหลังด้วย

นายเหอ หนิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นิวสกาย เอ็นเนอร์จี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัท และบริษัทในเครือซึ่งเป็นผู้ดำเนินโครงการโรงกำจัดขยะผลิตไฟฟ้าอ่อนนุชและหนองแขมขนาดไม่น้อยกว่า 1,000 ตันต่อวัน ได้ดำเนินการตามระเบียบที่ภาครัฐกำหนดทุกประการ โดยเฉพาะมติของคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ปี 2560 และมติคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) ในปี 2561 ที่มีมติให้รับซื้อไฟฟ้าจากขยะชุมชนในรูปแบบฟีด-อิน-ทารีฟ (FIT) สำหรับผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (SPP) ปั่นไฟไม่เกิน 50 เมกะวัตต์ ในอัตรา 3.66 บาทต่อหน่วย บริษัทได้นำอัตราการรับซื้อไฟฟ้าที่ 3.66 บาทต่อหน่วย บวกอัตราเงินเฟ้อประมาณ 3% ต่อปี มาใช้เป็นฐานในการประกวดราคาและได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้ดำเนินโครงการ เช่นเดียวกับเอกชนรายอื่นที่ผ่านความเห็นชอบจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยให้เป็นผู้ดำเนินโครงการกำจัดขยะเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าขอองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น รวม 23 โครงการ กำลังผลิตรวม 234.7 เมกะวัตต์

“ความล่าช้าของการพิจารณารับซื้อไฟฟ้าของ กพช. ได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินโครงการของกลุ่มบริษัทเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะต้นทุนการดำเนินโครงการ ซึ่งปัจจุบันราคานำเข้าเหล็กสำหรับก่อสร้างโครงการได้ปรับตัวสูงขึ้นมากกว่า 10% ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงส่งผลให้ต้นทุนการดำเนินงานเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว จึงขอความเป็นธรรมและขอให้กระทรวงพลังงานและ กพช.ช่วยเหลือเอกชนที่เข้ามาดำเนินโครงการด้วยการเร่งประกาศอัตราการรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการที่ผ่านความเห็นชอบจากหน่วยงานหลักคือกระทรวงมหาดไทย เพื่อให้โครงการเดินหน้าต่อไปได้ตามแผนที่วางไว้ โดยเฉพาะการรับซื้อไฟฟ้าตามประกาศของ กพช. ปี 2560 และมติ กบง. ปี 2561 หากจะมีการปรับอัตราการรับซื้อใหม่ ควรใช้กับโครงการใหม่ ไม่ใช่โครงการเดิมที่ผ่านความเห็นชอบแล้ว”

นายเหอหนิง กล่าวต่อไปว่า “การเปลี่ยนแปลงนโยบายการพิจารณารับซื้อไฟฟ้าในโครงการที่ผ่านความเห็นชอบจากหน่วยงานหลัก แสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของภาครัฐ ในการส่งเสริมการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งขัดกับความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน-ไทย และอาจส่งผลต่อการเข้ามาลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทคาดหวังว่า กกพ.จะพิจารณาหลักเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้าในเร็ววัน เพื่อให้สามารถดำเนินโครงการตามแผนที่วางไว้ได้ หากทั้งสองโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2566 จะสามารถช่วยกำจัดขยะให้กรุงเทพมหานครได้รวมถึง 2,500 ตันต่อวัน”.