รัชดา เผย มติคณะรัฐมนตรี เห็นชอบ ออกวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาว ให้ต่างชาติที่มีศักยภาพสูง อาศัยอยู่ในไทย พร้อมแก้กฎหมายถือครองที่ดินรองรับ อยากทำให้ทัน ปี 2565

วันที่ 18 ก.ย. 2564 น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง กรณีมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 2564 ที่เห็นชอบหลักการมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย ในลักษณะผู้พำนักระยะยาว (long-term stay) โดย มี 4 กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่

1.กลุ่มประชากรโลกผู้มีความมั่งคั่งสูง

2.กลุ่มผู้เกษียณอายุจากต่างประเทศ

3.กลุ่มที่ต้องการทำงานจากประเทศไทย

4.กลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ

โดยมี 2 มาตรการหลัก คือ

1. การออกวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาว (Long-term resident visa) กำหนดวีซ่าประเภทใหม่ให้กับกลุ่มของชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูง ซึ่งจะได้ข้อยกเว้นและสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง อาทิ การยกเว้นให้ผู้ถือวีซ่าประเภท ผู้พำนักอาศัยระยะยาวและวีซ่าประเภท Smart visa ทั้งหมดไม่ต้องมีหนังสือแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบหากอยู่ในประเทศเกิน 90 วัน

2. การแก้ไขกฎหมาย หรือกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองที่ดิน การบริหารจัดการการทำงานและอนุญาตให้คนต่างด้าวสามารถทำงานให้นายจ้างทั้งที่อยูในและนอกราชอาณาจักรได้ การยกเว้นหลักเกณฑ์การกำหนดให้การจ้างคนต่างด้าว 1 คน ต้องจ้างงานพนักงานคนไทยทำงานประจำ 4 คน การยกเว้นภาษีประเภทต่างๆ และระเบียบวิธีปฏิบัติด้านการศุลกากร

...

โดย น.ส.รัชดา ระบุเพิ่มเติมกับไทยรัฐออนไลน์ว่า เรื่องการแก้กฎหมายถือครองที่ดิน ทางกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงการคลัง จะทำงานร่วมกัน เพื่อดูสิทธิเรื่องการซื้อที่ดินได้ ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติม ทางส่วนราชการที่เกี่ยวข้องจะเป็นผู้พิจารณา โดยในวันนั้น คณะรัฐมนตรีมอบหมายให้สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ดำเนินการหารือกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงการคลัง เพื่อพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

แต่เบื้องต้นตามแผนโครงการอยากให้มีการเริ่มในปี 2565 ส่วนจะทันหรือไม่ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดได้ รวมถึงรายละเอียดการมอบกรรมสิทธิ์ หรือจำเป็นหรือไม่ที่ต้องแต่งงานกับคนไทย จึงขอให้รอดูรายละเอียดหลังจากการพิจารณาเสร็จสิ้นอีกครั้ง

ทั้งนี้ทาง สศช. ได้คาดระยะเวลาดำเนินการมาตรการฯ ภายใน 5 ปีงบประมาณ (2565-2569) จะช่วยเพิ่มจำนวนชาวต่างชาติที่พักอาศัยในไทย 1 ล้านคน เพิ่มปริมาณเงินใช้จ่ายในระบบเศรษฐกิจมูลค่า 1 ล้านล้านบาท เพิ่มการลงทุนในประเทศ 8 แสนล้านบาท สร้างรายได้จากการเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้น 2.7 แสนล้านบาท ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยมีบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านต่างๆ เพียงพอให้กับภาคธุรกิจที่รัฐบาลมุ่งส่งเสริม ซึ่งสอดคล้องกับแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ (พ.ศ. 2561 - 2580) ในประเด็นอุตสาหกรรมและบริการแห่งอนาคต และโครงสร้างพื้นฐาน ระบบโลจิสติกส์และดิจิทัล

อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมคณะรัฐมนตรียังเห็นชอบตามที่ สศช. เสนอให้มีการประเมินผลสัมฤทธิ์ภาพรวมโครงการฯ ทุกๆ 5 ปี รวมทั้งสิทธิประโยชน์ด้านภาษีและการถือของที่ดินก็ให้สิ้นสุดหลังจากวันที่เริ่มบังคับใช้แล้ว 5 ปี รวมทั้งให้ประเมินมาตรการต่างๆ เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศก็สามารถพิจารณาขยายระยะเวลาการบังคับใช้ออกไปได้ตามความเหมาะสมด้วย