ไวรัสกลัวน้ำลาย หายวูบไม่กี่วัน ตัวเลขโควิดดีดกลับหลังศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ว่าตามข้อมูลของรัฐบาล โดย ศบค.ให้เหตุผลการติดเชื้อเริ่มเพิ่มขึ้น เพราะการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ แต่อีกด้านหมออาชีพที่ไม่เกี่ยวกับการเมืองอธิบายเชิงเทคนิค ที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อลดลงวูบวาบ เพราะ ศบค.ไม่ได้รวมการตรวจด้วยชุดเอทีเค ทำให้ยอดเหลื่อมไป 3 พันรายต่อวัน
ถึงตอนนี้ก็ยังสับสน ข้อมูลคลุมเครือ ประชาชนไม่รู้จะเชื่อใคร
ที่แน่ๆโดยมหาวิกฤติโควิดล้อมเมืองมาปีครึ่งย่างเข้าห้วงปีที่สอง ความเสียหายนอกจากชีวิตผู้คน เศรษฐกิจพังพินาศ ตอนนี้โจทย์เครียดๆมุ่งไปที่อนาคตของเยาวชนที่ต้องเรียนออนไลน์ จับเจ่าอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์มานาน จนลืมหน้าตาครูบาอาจารย์
ขาดปฏิสัมพันธ์กับเพื่อน ทักษะสำคัญของการอยู่ร่วมในสังคม
แต่ปัญหาใหญ่หลวงมันอยู่ตรง “คุณภาพการศึกษา” ของเด็กไทย ที่นักวิชาการประเมินภาพให้เห็นกันง่ายๆ ถ้ายังเป็นแบบนี้ ความรู้นักเรียนไทยจะหายไปปีครึ่ง
เท่ากับเด็กจบ ม.3 จะมีความรู้เท่า ม.1 ปลายๆถึง ม.2
ไม่ต้องพูดถึงเด็กอนุบาลที่โดยธรรมชาติไม่มีสมาธิจดจ่อกับการเรียน ยากจะเรียนรู้เท่าในห้องเรียน
และในทางยาวๆคุณภาพการศึกษาของประเทศไทยที่หายไป เพราะโควิดล้อมเมือง หนีไม่พ้นต้องกระทบคุณภาพบุคลากรที่ป้อนเข้าสู่ระบบแรงงาน เป็นแรงงานที่หย่อนทักษะ ส่งผลในเชิงเศรษฐกิจ
นั่นจึงเป็นเงื่อนไขสถานการณ์บีบ กดดันรัฐบาลโดย ศบค.ต้องขยับ มีนโยบายฉีดวัคซีนให้เด็กอายุ 12–17 ปี ให้มีภูมิคุ้มกันหมู่ นำไปสู่โอกาสการเปิดเรียนปกติ
โดยสภาพการณ์โควิดล้อมเมือง ที่ยังคงเป็นมหาวิกฤติกระทบชีวิตประชาชนโดยตรง
คนไทยยังอยู่ในดงไวรัสมรณะ ภาวะเสี่ยง ไม่ติดโรคตาย ก็อดตาย
...
แต่ในสถานการณ์อีกมุม ก็ตะลุมบอนกันดุเดือดเลือดพล่าน เกมการเมืองฟาดฟัน แย่งชิงอำนาจและผลประโยชน์กันจนไม่ได้ยินเสียงโอดครวญของประชาชน
ตามฉากกบฏ ขุมข่ายทีมทหารเฒ่า 3 ป. ก่อรัฐประหารโค่นอำนาจกันเอง
อาฟเตอร์ช็อกจากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ ผลโหวต “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม ได้คะแนนไว้วางใจ 264 เสียง รองบ๊วยเหนือนายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน แต้มเดียว ตรงกันข้ามนายกฯคือแชมป์แต้มไม่ไว้วางใจสูงสุด 208 คะแนน
ล้อกับแผน “ด้อยค่า” ขบวนการเลื่อยขาเก้าอี้ผู้นำ
นำมาซึ่งจุดแตกหัก 5 วันคล้อยหลังก็เกิดปรากฏการณ์ “ฟ้าผ่า” ราชกิจจานุเบกษาประกาศให้ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์ และนางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รมช.แรงงาน พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ตามที่นายกฯพิจารณาเห็นสมควร
“ปลด” กันแบบไม่ให้ทันรู้เนื้อรู้ตัว
ผลของราชกิจจานุเบกษา ตัดหน้าคิวที่ “ผู้กองนัส” ตั้งโพเดียมแถลงข่าวยื่นใบลาออกจากตำแหน่ง
แสดงถึงการ “หักดิบ” กันอย่างรุนแรง
และไม่ใช่ ร.อ.ธรรมนัส กับนางนฤมล ที่โดน “สำเร็จโทษ” ข้อหาก่อการกบฏโค่นผู้นำ แต่โดยปรากฏการณ์มันยังพุ่งเป้าไป “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
ที่เพิ่งพูดชัดๆ ไม่มีการปรับ ครม. ไม่ปลด ร.อ.ธรรมนัส
ตัดจบ ด้วยบารมี “พี่ใหญ่”
แต่ของจริงเอาไม่อยู่ โดนราชกิจจาฯประกาศเชือดทั้ง “ผู้กองนัส–มาดามบิ๊กอาย”
“บิ๊กป้อม” กางปีกป้อง “กล่องดวงใจ” ไม่ได้
คิวเชือดกบฏ ตั้งใจล็อกเป้า
สายตรง หักลำ “พี่ใหญ่” กันเห็นๆเลย
และเมื่อนักข่าวถาม พล.อ.ประยุทธ์ ต้องเคลียร์ใจกับ พล.อ.ประวิตรหรือไม่ อารมณ์ “น้องเล็ก” ปัดตอบการพูดคุยกับ “พี่ใหญ่” แต่ไล่ให้ดูรัฐธรรมนูญมาตรา 171 เรื่องอำนาจนายกฯในการปรับเปลี่ยนเพื่อให้เกิดผลดีต่อการบริหารราชการแผ่นดิน
ต่างจากภาพที่เคยชิน พล.อ.ประยุทธ์จะต้องโอ้โลมปฏิโลมผู้เป็นพี่ใหญ่
อาการตอกย้ำ ฉากเคลียร์ใจที่บ้านป่ารอยต่อฯไม่จบ
บทกระเซ้าที่ “บิ๊กตู่” แกล้งแหย่ถาม “บิ๊กป้อม” ต่อหน้าสื่อ “ท่านอยากเป็นนายกฯหรือ” ขณะที่อีกฝ่ายตอบกลับแบบอารมณ์ดี “จะบ้าหรือ กูไม่เป็นหรอก มึงเป็นนั่นแหละ”
แค่ฉากหน้าโชว์นักข่าวชั่วขณะ แต่ถึงจังหวะก็หักดิบ ถอนปมคาใจกันแรงๆ
โดยสถานการณ์ในทางปฏิบัติที่ย้อนแย้งกับสคริปต์ที่ต่างฝ่ายต่างพยายามรื้อฟื้นสายสัมพันธ์ครั้งอดีตการันตี ถึงตรงนี้คนนอกย่อมมองออกถึงปัจจัยแวดล้อมที่แปร่งๆในศึกปราบกบฏพลังประชารัฐ
พี่น้องไม่มีทางสนิทใจกันเหมือนเดิม
และแน่นอน เมื่อ “บิ๊กตู่” ตัดสินใจเล่นบทโหดเชือดกบฏ การสำเร็จโทษ ร.อ.ธรรมนัส ไม่น่าจะหยุดที่ยึดเก้าอี้รัฐมนตรี แต่น่าจะลามถึงการโละออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ
โดยที่ “ผู้กองนัส” ก็พูดชัด รอแยกตัวไปตั้งพรรคใหม่ หรือกลับค่ายเก่าทีมดูไบ
อำนาจในค่ายพลังประชารัฐต้องปรับเปลี่ยนตามอาฟเตอร์ช็อกปราบกบฏ และในสถานการณ์ท้าทาย “บิ๊กตู่” เองก็ปฏิเสธไม่ได้ เมื่อไม่มี ร.อ.ธรรมนัส ก็เท่ากับขาดมือที่ครบเครื่องทั้งบนดิน ใต้ดิน
มันย่อมกระเทือนเกมเลือกตั้ง กระทบแผนลากยาวอำนาจสะดุด
ตามสภาพขุมอำนาจ 3 ป. ที่เคยแน่นหนา สยายปีกขุมข่ายคุมอำนาจประเทศไทยพอๆกับระบอบ “ทักษิณ” แต่ศึกปราบกบฏตอกลิ่ม รอยร้าวลึกเกินจะประสานกลับมาเป็นเนื้อเดียวกัน
หนีไม่พ้นสัจธรรม เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
และในสภาพอาฟเตอร์ช็อกต่อเนื่อง สถานการณ์กบฏแพ้ ยุทธการคว่ำกระดาน พล.อ.ประยุทธ์โดนสกัด “ผู้กองนัส” โดนสำเร็จโทษอย่างแรง มันยังสะเทือนไปถึงเกมฮั้วข้ามขั้ว
คิวโหวตร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญวาระ 3 ที่ดูเหมือนไม่มีเดิมพันอะไร
ตามธงล็อกโพยกันไว้ บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ที่ทีมพลังประชารัฐแตะมือกับค่ายเพื่อไทย ลากความได้เปรียบในสนามเลือกตั้งเข้าเหลี่ยมพรรคการเมืองใหญ่ บอนไซพรรคการเมืองขนาดเล็ก
ฝันข้ามช็อตไปถึงรัฐบาล 2 พรรคใหญ่ในการเลือกตั้งรอบหน้า
ล้อกับอาการมั่นอกมั่นใจ “โทนี วูดซัม” อดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร ประกาศพร้อมเดินทางกลับประเทศไทย ผ่านทางประตูหน้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
แทงไพ่ผ่าน “ซูเปอร์ดีลเมกเกอร์” ปฏิบัติการ “มิชชันอิมพอสซิเบิล”
โอกาสลุ้นมาถึงจุดใกล้เคียงความจริงมากสุด
แต่ที่สุดก็ฟาวล์ ขบวนการกบฏคว่ำกระดาน “บิ๊กตู่” ถูกกองกำลัง “คอแดง” ล้อมไม่ให้ขยับ “ผู้กองนัส” โดนสาวพฤติการณ์เบื้องหลังโยงกับ “นายใหญ่” ทีมดูไบ
กบฏพลังประชารัฐกับบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ กลายเป็นคนละเรื่องเดียวกัน
เงื่อนไขสถานการณ์ กระตุก “ผีทักษิณ” กลับมาหลอนทันที
ส.ว.จมูกไว โดยเฉพาะสายหนุน “ประยุทธ์” พวกต่อต้านตระกูลชิน ออกมาตีปี๊บสัญญาณต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญกลับไปใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ เข้าเหลี่ยม “ทักษิณ” โกยแต้มพรรคเพื่อไทย
ระดมทีมโหวตคว่ำ ไม่ยื่นดาบให้ทีมดูไบมาฆ่า “บิ๊กตู่”
เดิมพันอยู่ที่ ส.ว.84 เสียง ตามเงื่อนไข ถ้าได้ไม่ถึง ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฯบัตรเลือกตั้ง 2 ใบก็จอดป้าย
แต่สุดท้ายเลย ที่ประชุม รัฐสภาก็โหวตผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฯวาระ 3 ด้วยคะแนน 472 เสียง โดยเฉพาะในส่วนของ ส.ว.มีผู้เห็นชอบทั้งหมด 149 เสียง จาก ส.ว.250 คน
เท่ากับผลลงคะแนนเข้าทาง “ทักษิณ” ได้กลับไปใช้กติกาถนัด
ตามข่าวเบื้องหลัง ผลจากการล็อบบี้ของทีมจัดการ ส.ว.สาย “บิ๊กป้อม” ที่ชนะสายหนุน “บิ๊กตู่”
ตามสภาพของยุทธศาสตร์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ขีดวงตัวเองอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล ในฐานะฝ่ายบริหาร ปล่อยให้ พล.อ.ประวิตรเป็นคนจัดการการเมืองทั้งในส่วนของ ส.ส.รวมถึงการวางกำลังใน 250 ส.ว.
มันก็ไม่แปลกที่เสียงจะออกมาเข้าทาง “พี่ใหญ่” เข้าเหลี่ยม “ทักษิณ”
เป็นอีกช็อตที่ พล.อ.ประยุทธ์ตกเป็นรองในเกมวัดเสียงในสภา
ผู้นำมีอำนาจ แต่ไร้ฐาน ส.ส.และ ส.ว.เป็นกองกำลังส่วนตัว สั่งซ้ายหันขวาหันไม่ได้ ในสภาพที่พรรคพลังประชารัฐแตกหัก ส่วนหนึ่งก็คือกำลังหลักของ “ผู้กองนัส” และอยู่ในคอนโทรล “พี่ใหญ่”
ภายใต้เงื่อนไขสถานการณ์เชือดกบฏที่ “หักดิบ” กันแรงๆ
มันย่อมเป็นอันตรายกับสถานภาพของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ยึดดาบยุบสภามาอยู่ในมือได้ชั่วขณะ แต่อีกไม่กี่เดือนก็ถึงจังหวะสภาเปิดสมัยประชุมในกลางเดือนพฤศจิกายนปลายปี
เกมเปิดให้ฝ่ายค้านยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ “บิ๊กตู่” ก็ต้องเสียวกับเกม “ซ่อนแต้ม”
ในสภาพดาบยุบสภาหลุดมือ โอกาสเสี่ยงโดนคว่ำกระดานจากแนวร่วมกบฏที่แฝงความแค้น
นี่คือจุดที่เซียนการเมืองวิเคราะห์ แผนฮั้วข้ามขั้วดันบัตร 2 ใบผ่านด่านสกัดผีทักษิณ แต่เผลอๆไม่ได้ใช้ ตามเงื่อนไขกว่าจะออกกฎหมายลูก หรือมีการยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความ ต้องใช้เวลาอีกนาน
ถ้ามีเหตุยุบสภาก่อน มันก็ฟาวล์โดยอัตโนมัติ.
“ทีมการเมือง”