ผมเขียนบทความนี้บ่ายวันอาทิตย์ เขียนล่วงหน้าหลายวันเนื่องจากติดวันหวยออก จึงยังไม่ทราบตัวเลขจีดีพีที่ สภาพัฒน์ แถลงไปเมื่อวันจันทร์ แต่คาดว่าตัวเลขเศรษฐกิจคงไม่ดีแน่นอน ก่อนหน้านี้ กระทรวงการคลัง ก็ออกมา หั่นจีดีพีปีนี้ลดเหลือ 1.3% จากเดิม 2.3% กกร.คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน สมาคมธนาคารไทย สภาหอการค้าไทย สภาอุตสาหกรรมฯ ภาคเศรษฐกิจตัวจริง ก็มีมติหั่นจีดีพีปี 2564 เป็นติดลบ 1.5% ถึง 0.0% จากเดิมขยายตัว 0.0% ถึง 1.5% มองไม่เห็นอนาคตกันเลย ตราบใดที่ รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังบริหารประเทศล้มเหลวทุกด้านอย่างนี้

ที่ผมเป็นห่วงก็คือ ปีนี้และปีหน้า 2564-2565 ใครจะจ่ายภาษีเงินได้ให้รัฐบาล? เอกชนเจ๊งกันหมด จนกันหมด ตกงานหลายสิบล้านคน จากการบริหารที่ล้มเหลวของรัฐบาลชุดนี้

คุณผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย ในฐานะ ประธาน กกร. แถลงว่า เศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงที่จะเข้าสู่ “ภาวะถดถอย” เป็นปีที่ 2 หลังจากที่รัฐบาลไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิดได้ ยอดผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตยังเพิ่มขึ้น แม้จะล็อกดาวน์มาแล้ว 14 วัน และขยายล็อกดาวน์ไปถึงสิ้นเดือนสิงหาคม ขยายพื้นที่ล็อกดาวน์เป็น 29 จังหวัด การยกระดับครั้งนี้สร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจ 3-4 แสนล้านบาท เพราะพื้นที่สีแดงเข้ม 29 จังหวัด มีสัดส่วนเศรษฐกิจถึง 78% ของจีดีพีประเทศไทย

ผมไม่รู้ว่าตอนที่ พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจออกคำสั่งล็อกดาวน์แบบนี้ ท่านรู้หรือไม่ว่าจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหาศาลขนาดไหน รัฐบาลต้องรับผิดชอบต่อคำสั่งนี้อย่างไร

คุณสนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าไทย ก็เปิดเผยว่า จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่ยังสูงขึ้น ทำให้มีการส่งสัญญาณว่าอาจขยายการล็อกดาวน์ยาวไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ซึ่ง มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า การล็อกดาวน์ที่เริ่มมาตั้งแต่ต้นปีนี้จนถึงเดือนสิงหาคม ทำให้เศรษฐกิจเสียหายไปแล้ว 5-8 แสนล้านบาท หากรวมเดือนสิงหาคมด้วย ความเสียหายจะเพิ่มขึ้นเป็น 8 แสน-1 ล้านล้านบาท ดังนั้น หากล็อกดาวน์ยาวไปจนถึงสิ้นเดือนกันยายน ความเสียหายทั้งปีจะเกิน 1 ล้านล้านบาท ฟังแล้วใจแป้วไปถึงตาตุ่ม

...

มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ยังได้สำรวจความคิดเห็น นักธุรกิจต่างชาติในไทย ระดับประธาน รองประธาน 35 ประเทศกว่า 70 คน ช่วงเดือน พ.ค.-ก.ค. ซึ่ง ศบค.ยังไม่ได้ล็อกดาวน์ 29 จังหวัดเศรษฐกิจแบบเข้มข้น ผลปรากฏว่า นักลงทุนต่างชาติ 70.1% คาดว่าเศรษฐกิจไทยปี 64 จะขยายตัวได้น้อยกว่า 0% คือติดลบนั่นเอง และ นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ 18.75% มองว่าเศรษฐกิจไทยจะฟื้นได้ในไตรมาส 3 ปี 2565 และ 17.14% มองว่าจะฟื้นตัวในปี 2566 ถ้าไปสำรวจใหม่วันนี้ คำตอบคงแย่ลงกว่าเดิมแน่นอน

ดังนั้น สองปีนี้ 2564–2565 เศรษฐกิจไทยจะโตติดลบหรืออย่างเก่งก็ขยายตัวได้ 0% กลายเป็น “สองปีที่หายไป” (lost year) ในขณะที่ปี 63 ติดลบ 6.1% คิดเป็นตัวเลขออกมาไม่รู้เศรษฐกิจไทยพังยับเยินไปกี่ล้านล้านบาท ในขณะที่ นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ว.ลากตั้ง ส.ส.ในสภา กินเงินเดือนภาษีประชาชนอยู่กันอย่างสุขสบาย ทำงานตามเวลาราชการ ประชุมตามเวลาราชการ แถมยังกลัวโควิดจนหัวหดไม่กล้าไปประชุมสภาอีก ไม่เหมือนนักการสหรัฐฯและอังกฤษที่สู้แทนประชาชน ประชุมกันทุกวันไม่เว้นเสาร์อาทิตย์

สิ่งที่นักลงทุนต่างชาติเสนอแนะรัฐบาล ก็เหมือนกับที่ กกร. และ นักธุรกิจไทยทุกคนเสนอไปแล้ว คือ เร่งแก้ปัญหาการฉีดวัคซีนล่าช้า เร่งจัดหาวัคซีนคุณภาพให้เพียงพอ ไม่ใช่แค่กันตาย เพื่อควบคุมการระบาดให้ได้ ควบคุมการระบาดไม่ได้ มันก็พังไปทั้งประเทศ

จนถึงวันนี้ผมไม่แน่ใจว่า จะยังเหลือธุรกิจและประชาชนเสียภาษีให้รัฐบาลได้สักกี่คน? เพราะเจ๊งกันหมดประเทศ บริษัทที่รอดก็ขาดทุนกันถ้วนหน้า รัฐบาลต้องกู้เงินอีกเป็นล้านล้านบาท หลังจากที่กู้มาแล้ว 2.4 ล้านล้านบาท กลายเป็นเตี้ยอุ้มค่อม ไม่รู้จะไปได้สักกี่น้ำ รู้จักไหมครับคำว่า “เสียสละเพื่อชาติ” ประชาชนเจ็บและเสียสละมามากพอแล้ว.

“ลม เปลี่ยนทิศ”