"อิสระ"ติง "เอสเอ็มอี" ใกล้ตาย เเต่อัดฉีดเงินเหมือนทาเเค่ยาเเดง สาวไส้งบฯฐานรากตกหัวละ 174 บาท แต่งบพัฒนาบุคลากรภาครัฐเฉลี่ยคนละ 504,435 บาท

เมื่อวันที่ 31 พ.ค.64 นายอิสระ เสรีวัฒนวุฒิ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวอภิปรายว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2565 เป็นทั้งรถบรรทุกความฝัน ความหวังแก้ปัญหาโควิด-19 และปัญหาเศรษฐกิจ เเม้ทั้ง 2 ปัญหานี้ไม่ใช่ความผิดรัฐบาล แต่เป็นหน้าที่ต้องเร่งแก้ไขเร่งด่วน ถ้าวันนี้ร่าง พ.ร.บ.นี้คือเลือดปั้มหัวใจภาคเศรษฐกิจ ที่กำลังหายใจรวยริน สิ่งที่ช่วยกระตุกสัญญาณชีพของผู้ประกอบการที่กำลังร่อเเร่คือ อัดฉีดเงินเข้าไปในภาคเศรษฐกิจอยู่ 2 ภาคส่วนคือ เศรษฐกิจจริงหรือเรียวเซ็กเตอร์ อย่างภาคการผลิต และการบริการ ส่วนที่สองคือ เศรษฐกิจฐานราก ซึ่งยังไม่ตอบโจทย์ทั้งสองส่วนในเชิงปริมาณ ยุทธศาตร์มี 15 เเผน มีเพียง 3 เเผน ที่มีเงินอัดลงไปในเศรษฐกิจจริง คือ 1.เกษตรสร้างมูลค่า  2.เพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยว และ 3.พัฒนาเอสเอ็มอี ใน 3 แผนที่ได้รับการจัดสรรงบ คิดเป็นเงินทั้งสิ้น 53,198 ล้านบาท คำนวนสัดส่วนได้เพียง 1.72 % ของเงินงบทั้งหมด 3.1 ล้านล้านบาท ขณะที่เอสเอ็มอีในไทยมี 3 ล้านกว่าราย มีการจ้างงาน 12 ล้านคน คือเส้นเลือดใหญ่ของเศรษฐกิจประเทศที่กำลังบาดเจ็บสาหัส แต่เเผนงานเเผนเงินที่ใส่ลงไปแค่นี้ เหมือนเอายาเเดงไปทาแผลปฐมพยาบาล มองไม่ออกว่าจะช่วยให้รอดชีวิตได้อย่างไร 

นายอิสระ กล่าวต่อว่า ส่วนที่สอง เศรษฐกิจฐานรากในยุทธศาสตร์ที่ 4 แผนที่ 5 เขียนไว้สวยหรู 16 บรรทัด 17 ภาพฝันว่า จะเพิ่มรายได้ ลดความยากจน ลดหนี้สิน พัฒนาอาชีพ ที่ดินทำกิน สารพัดจะทำเเต่ทราบหรือไม่ ทั้งหมดที่จะทำนี้ได้งบ 1,642 ล้านบาท ลดลงจากปีที่เเล้วพันกว่าล้านบาท ถ้าดูจากข้อมูลเมื่อวันที่ 21 เม.ย.ปีก่อน ประเทศไทยมีประชากรที่อยู่ในเศรษฐกิจฐานรากอย่างน้อย 9,400,000 คน ถ้านำเงินที่ให้หารกับจำนวนคน ตกเเล้วเฉลี่ยได้คนละ 174 บาท 75 สตางค์ ที่น่าตกใจกว่านั้น หากนำตัวเลขนี้ไปเทียบกับงบพัฒนาบุคลากรที่เเทรกซึมอยู่ในทุกยุทธศาสตร์ทุกแผนงาน ตนกดตัวเลขรวมกันได้ทั้งหมด 7 เเสน 7 หมื่นล้านบาท ยังไม่รวมงบพัฒนาบุคลากรที่ไปเเทรกซึมอยู่ในงบกลาง อีก 4 เเสน 7 หมื่นกว่าบาท รวมสองตัวนี้ได้ 1.2 ล้านล้านบาท ตนคิดเเบบเดียวกัน คือ เอา 1.2 ล้านล้านบาท หารด้วยจำนวนบุคลากรภาครัฐที่มีอยู่จากข้อมูลของ กพ. 2.3 ล้านคน ตกเเล้วได้คนละ 504,435 บาท เมื่อเทียบกับงบที่ส่งลงไปช่วยผู้ประกอบการตาดำๆ 174 บาท 75 สตางค์แล้ว ไม่อยากใช้คำว่าต่างกันราวฟ้ากับเหว แต่ว่านี่คือข้อเท็จจริง 

...

นายอิสระ กล่าวต่อว่า งบกระทรวงศึกษาธิการสูงที่สุด แต่ต้องตั้งคำถามว่ากระจายไปถูกที่หรือไม่ ยกตัวอย่างเเผนงานด้านการพัฒนาการเรียนการสอน 13,252 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มมาประมาณหมื่นล้านบาทจากปีก่อน กระทรวงศึกษาให้เหตุผลว่าเพื่อให้การศึกษาทันกับการเปลี่ยนเเปลงของศตวรรษที่ 21 ซึ่งจะใช้เทคโนโลยีเข้าช่วย แต่มันขัดกับที่ตนติดตามมาตลอด และขัดกับผลการศึกษาของต่างประเทศทุกประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกาบอกว่าการศึกษาออนไลน์ จะทำให้ต้นทุนเรื่องการบริหารการศึกษาลดลงถึง 80 กว่าเท่า แล้วเหตุใดในงบฉบับนี้ถึงต้องเพิ่มต้นทุนในขั้นงบประมาณสูงขนาดนี้ ทั้งๆที่คนที่เดือดร้อนรับภาระจากการเรียนการสอนออนไลน์จริงๆในภาวะโควิด คือ นักเรียนและผู้ปกครอง ขอให้นำเงินหมื่นกว่าล้านนี้ เจียดไปช่วยเยียวยาต่อลมหายใจผู้ปกครองส่วนหนึ่ง ที่กำลังเดือดร้อนได้หรือไม่ ขอให้มีการปรับปรุงในชั้น กมธ.ด้วย