ช็อกกันทั้งประเทศ ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในเรือนจำ 12 แห่งรวม 9,789 คน โดยเฉพาะ เรือนจำเชียงใหม่ พบผู้ติดเชื้อสูงถึง 3,929 คน แซงหน้า เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ 1,960 คน เรือนจำพิเศษธนบุรี 1,725 คน ทัณฑสถานหญิงกลาง 1,039 คน เรือนจำกลางคลองเปรม 1,016 คน ทำให้ยอดผู้ติดเชื้อไทยพุ่งขึ้นไปอยู่อันดับ 91 ของโลก สะสม 111,082 คน ถ้าวันอังคารตัวเลขยังไม่ลดลงต่ำกว่าพัน สัปดาห์นี้คงได้เห็นไทยติดอันดับ 90 หรือ 89
ยังโชคดีหน่อยที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ชูคอแข็งหน้าแข็งออกทีวีชวนคนไทยฉีดวัคซีนอย่างไร้อารมณ์ เพิ่งคิดได้วันอังคารที่แล้ว เสนอ ครม.ให้ “การฉีดวัคซีน” เป็น “วาระแห่งชาติ” หลังจากที่สื่อและเอกชนเรียกร้องให้เร่งจัดหาวัคซีนจนคอแหบคอแห้ง
ผมไม่รู้ “การฉีดวัคซีน” ที่เป็น “วาระแห่งชาติ” มีรายละเอียดอะไรบ้าง ยังไม่มีใครออกมาให้รายละเอียด การสื่อสารเรื่องวัคซีนของรัฐบาลยังเป็นไปอย่างมั่วมาก โฆษกพูดที หมอคนโน้นพูดที หมอคนนี้พูดที ไม่มีอะไรที่เป็น “การสื่อสารทางตรงจากรัฐบาล” ที่เป็น “ทิศทางระดับชาติ” สร้างความสับสนให้ประชาชนตลอดเวลา เช่น การลงทะเบียนฉีดวัคซีนกับ “หมอพร้อม” อีกวันเปลี่ยนเป็น Walk-in คนไม่ลงทะเบียนได้ฉีดก่อน เป็นงั้นไป
วันจันทร์เปลี่ยนอีกแล้ว ให้ประชาชนทั่วไปอายุ 18-59 ปี ลงทะเบียน “หมอพร้อม” ได้ตั้งแต่ 31 พฤษภาคม เร็วขึ้น 2 เดือน จากเดิม 1 กรกฎาคม แล้วกลุ่มเสี่ยงที่เหลืออีกเกือบ 10 ล้านคน จะลงทะเบียนต่ออย่างไร ไม่มีใครอธิบาย
ที่น่าเป็นห่วงก็คือ “จุดวอล์กอิน” ถ้าให้วอล์กอินไปฉีดวัคซีนได้ทุกที่ในโรงพยาบาลและจุดฉีดวัคซีน ก็คงเป็นการฉีดวัคซีนที่มั่วที่สุด ยิ่งได้ฟัง คุณศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีคมนาคม ออกมาแถลง จะใช้ สถานีรถไฟบางซื่อ ทำเป็น จุดฉีดวัคซีนวอล์กอินวันละ 10,000 กว่าคน ก็ยิ่งเป็นห่วง คนไปรวมตัวกันเป็นหมื่น จะสามารถป้องกันการแพร่เชื้อระหว่างผู้ไปฉีดวัคซีนได้อย่างไร เพราะวันนี้คุณหมอให้สันนิษฐานว่าทุกคนมีความเสี่ยงเท่ากันหมด
...
ผมคิดว่านายกฯควรตั้งสติให้ดีๆ วางแผนการฉีดวัคซีนให้เป็นระบบ อย่างที่ผมได้เขียนไปสองวันติด ตำราสู้โควิดของผู้นำจีนและผู้นำสหรัฐฯ การเร่งฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุดนั้นถูกต้องแล้ว แต่ การกระจายวัคซีน และ จุดฉีดวัคซีน จะต้องทำเป็นระบบ กระจายให้ทั่วถึงในวงกว้าง และ ไม่แออัด ไม่ใช่กระจุกตัวฉีดวัคซีนกันเป็นหมื่นคนต่อวันในสถานที่เดียว
การบริหารจัดการวัคซีนที่ล่าช้า จากความคิดผูกขาดแบบราชการ ทำให้ไทยเสียเวลา เสียโอกาสไปมากแล้ว วันนี้ต้องเร่งฉีดวัคซีนให้ประชาชนแข่งกับเวลา ตัวเลขจีดีพีไตรมาสแรกปี 64 ที่ สภาพัฒน์แถลงเมื่อเช้าวันจันทร์ ติดลบไปอีก 2.6% ติดลบต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 5 ตั้งแต่ต้นปี 63 คิดหยาบๆ 5 ไตรมาสจีดีพีติดลบไปแล้ว 27.4% วันก่อน แบงก์ชาติ ก็ออกมาเตือน ถ้าปี 64 รัฐบาลไม่สามารถฉีดวัคซีนให้ได้วันละ 5-6 แสนโดส จีดีพีปีนี้ตายแน่และตายต่อเนื่องไปจนถึงปลายปีหน้า แล้วคนไทย 70 ล้านคน จะใช้ชีวิตอยู่กันอย่างไร?
ศูนย์วิเคราะห์ ttb Analytics ได้ประเมินแผนฉีดวัคซีนเชิงรุกของรัฐบาลตั้งแต่เดือนมิถุนายนนี้พบว่า หากกระจายฉีดวัคซีนได้วันละ 300,000 โดส จะส่งผลให้ผู้ติดเชื้อทยอยลดลงตั้งแต่เดือนสิงหาคม จนเหลือ 300 คน ในเดือนธันวาคม มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนสะสม 46.3 ล้านคน คิดเป็น 70% ของประชากร ณ สิ้นเดือนธันวาคม นำไปสู่การปลดล็อกประเทศได้ หากกระจายวัคซีนได้ต่ำกว่า เช่น ฉีดได้วันละ 150,000 โดส พบว่า ยอดผู้ติดเชื้อยังคงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ การปลดล็อกประเทศต้องเลื่อนไปถึงมิถุนายนปีหน้า 2565 โน่น
แต่ถ้า รัฐบาลเร่งฉีดวัคซีนให้ได้วันละ 500,000 โดส ผู้ติดเชื้อจะลดลงจนคุมได้ในเดือนพฤศจิกายน สามารถเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวได้ในไตรมาส 4 ปีนี้เลย
เศรษฐกิจไทยจะพังหรือรอดก็อยู่ที่ “การฉีดวัคซีน” นี่แหละ งานฉีดวัคซีน จะพิสูจน์ความสามารถของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สมควรเป็นผู้นำประเทศต่อไปหรือไม่.
“ลม เปลี่ยนทิศ”