โควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ แต่แพร่ระบาดรวดเร็วทั่วโลก ใช้เวลาแค่ปีเศษ ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าโควิดอาจจะอยู่ต่อไปอีกนาน แต่ผู้เชี่ยวชาญบางคนเชื่อว่าถึงจะนานแค่ไหน ก็ไม่น่าจะนานเท่ากับการทุจริตคอร์รัปชัน โรคอุบัติเก่าแก่ ที่ฝังรากลึกในสังคมไทยมาช้านาน และอาจอยู่ต่อไปชั่วกัลปาวสาน

ที่ใดมีการจัดซื้อจัดจ้าง มีการใช้จ่ายเงินแผ่นดินจากภาษีของประชาชน ที่นั่นมีคอร์รัปชัน ผลการศึกษาของนักเศรษฐศาสตร์ เมื่อปลายปีก่อนพบว่า มีการหักค่าหัวคิวการจัดซื้อจัดจ้าง ทำให้รัฐเสียหายปีละหลายแสนล้านบาท ส่วนในปัจจุบัน มีเสียงเตือนจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ให้ระวังการทุจริตมโหฬาร

รายงานข่าวระบุว่า สตง.มีหนังสือถึงสภาพัฒน์ ระบุว่าโครงการเงินกู้ 1 ล้านล้านบาทของรัฐบาล เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและเยียวยาประชาชนกว่า 9 แสนล้านบาท มี 3 โครงการที่เสี่ยงต่อการทุจริตสูง เช่นโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งกลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ 9.8 พันล้านบาท และโครงการพัฒนาพื้นที่ “โคก หนอง นา” 4.7 พันล้านบาท

ยังมีอีก 6 โครงการ ที่เสี่ยงต่อการถูกงาบในระดับกลาง เป็นหลักฐานยืนยันจาก สตง. ผู้มีประสบการณ์โชกโชน ในการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินแผ่นดินของเจ้าหน้าที่รัฐ ประกอบด้วยนักการเมือง ข้าราชการ โดยมีนักธุรกิจเอกชนเป็นส่วนประกอบ ตามทฤษฎี “สามประสานกินเมือง” กินทุกอย่างที่ขวางหน้า

กินแม้แต่งบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจ งบประมาณเยียวยาประชาชน ผู้ได้รับผลกระทบจากโควิด ที่ประสบความเดือดร้อนแสนสาหัส เพราะถูกเลิกจ้างกลายเป็นผู้ตกงาน และแม้แต่การแพร่ระบาดของโควิดระลอกที่ 2 และ 3 ก็เชื่อกันว่าต้นเหตุสำคัญส่วนหนึ่งคือการทุจริตคอร์รัปชันของเจ้าหน้าที่รัฐ และธุรกิจสีเทา

ไม่ว่าจะเป็นการลักลอบนำแรงงานเพื่อเข้าประเทศ กลายเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ของการแพร่ระบาด ที่สมุทรสาคร หรือบ่อนพนันในภาคตะวันออก แม้แต่วงการศึกษา ก็มีการทุจริต ตัวอย่างที่ชัดเจนอีกกรณีที่ผู้ใกล้ชิดรัฐมนตรี ถูกกล่าวหาให้คนอื่นเข้าเรียนและสอบแทน ในการเรียนหลักสูตรปริญญาเอก หรือแม้แต่วงการพระสงฆ์

...

มีข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับพระสงฆ์ บ่อยครั้งอ้างตัวเป็นพระอริยบุคคลหรือผู้วิเศษ ต้มตุ๋นชาวบ้านเพื่อลาภสักการะ ก่อนหน้านั้นไม่กี่ปี มีเรื่องอื้อฉาวที่สั่นสะเทือนวงการปกครองคณะสงฆ์ นั่นก็คือคดีทุจริตที่เรียกว่า “เงินทอนวัด” การป้องกันและปราบปรามการทุจริต คงหวังพึ่งรัฐบาลนี้ไม่ได้ เพราะ 7 กว่าปีมีแค่วาทกรรม.