ศาลมีคำสั่งให้ย้าย "ไมค์-ไผ่-โตโต้" ไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ชี้ให้มีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกันทุกคน แต่ถ้ามีเหตุฉุกเฉิน อธิบดีกรมราชทัณฑ์มีอำนาจย้ายผู้ต้องขังได้ตามกฎหมาย
เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก กรณีศาลนัดพร้อมตรวจพยานหลักฐานคดีแกนนำราษฎรชุมนุม 19 กันยายนทวงอำนาจคืนราษฎร ซึ่งศาลไม่อนุญาตให้ผู้สื่อข่าวเข้าร่วมฟังการพิจารณาคดี โดยอ้างเป็นมาตรการป้องกันไวรัสโควิด-19 แต่ผู้เกี่ยวข้องในคดี ผู้สังเกตการณ์ และผู้เดินทางมาให้กำลังใจส่วนหนึ่งได้เข้าไปในห้องพิจารณาคดี
ต่อมา เวลา 12.00 น. ศาลอาญาได้พิเคราะห์ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยมีว่าการคุมขัง นายปิยรัฐ จงเทพ แกนนำกลุ่มราษฎร ผู้ต้องหาที่ 1 ที่เรือนจำพิเศษธนบุรีชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 89 บัญญัติว่า หมายขังหรือหมายจำคุกต้องจัดการให้เป็นไปตามหมายนั้น ในเขตของศาลซึ่งออกหมาย เว้นแต่บัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นแสดงว่าการคุมขังต้องเป็นไปตามหมายศาล เว้นแต่มีการบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่นในกฎหมายอื่นซึ่งตามพระราชบัญญัติราชทัณฑ์ พ.ศ. 2560 มาตรา 40 ประกอบกฎกระทรวงกำหนดระบบการจำแนกลักษณะของผู้ต้องขังการควบคุมและการแยกคุมขังและการย้ายผู้ต้องขัง พ.ศ. 2563 อันเป็นกฎหมายอื่นที่บัญญัติให้อธิบดีกรมราชทัณฑ์ย้ายผู้ต้องขังจากเรือนจำหนึ่งไปอีกเรือนจำหนึ่งได้ หากเป็นคนต้องขังและคนฝากให้ขออนุญาตศาลก่อน เว้นแต่มีเหตุจำเป็นจะย้ายบุคคลดังกล่าวก่อนก็ได้ แต่ต้องรายงานให้ศาลทราบนั้น เห็นได้ว่าการย้ายผู้ต้องขังต้องขออนุญาตศาลก่อนเว้นแต่มีเหตุจำเป็น อธิบดีกรมราชทัณฑ์จะย้ายบุคคลดังกล่าวก่อนก็ได้แล้วแจ้งให้ศาลทราบเพราะมิฉะนั้นแล้วการย้ายผู้ต้องขังจะเป็นการย้ายไปตามอำเภอใจและไม่เป็นไปตามหมายศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 89 ไปเสียทั้งหมด เมื่อข้อเท็จจริงจากทางไต่สวนปรากฏว่า
...
วันที่ 8 มี.ค. มีกลุ่มมวลชนเป็นจำนวนมากที่ศาลอาญาและเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครเรียกร้องให้ปล่อยตัวผู้ต้องหาที่ 1 พฤติการณ์เช่นนี้ถือว่ามีเหตุอันจำเป็นที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์มีอำนาจย้ายผู้ต้องหาที่ 1 ไปก่อนแล้ว แจ้งให้ศาลทราบได้เนื่องจากอาจจะมีการก่อเหตุร้ายหรือความไม่สงบเรียบร้อยหรือทำลายทรัพย์สินทางราชการหรือมีเหตุพิเศษอย่างอื่นแล้วข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าการย้ายผู้ต้องหาที่ 1 ไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษธนบุรีชอบด้วยกฎหมายดังที่วินิจฉัยไว้ข้างต้นแล้ว อย่างไรก็ตามได้ความจากนายนราวิชญ์ เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ว่าเหตุที่มีการนำตัวผู้ต้องหาที่ 1 ไปขังที่เรือนจำพิเศษธนบุรี เนื่องจากว่าวันดังกล่าวมีกลุ่มมวลชนเป็นจำนวนมากที่ศาลอาญาและเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เมื่อเหตุการณ์หลังจากวันที่ 8 มี.ค. 64 ไม่มีมวลชนที่ศาลอาญาและเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ อันอาจจะมีการก่อเหตุร้ายหรือความไม่สงบเรียบร้อย หรือทำลายทรัพย์สินทางราชการ หรือมีเหตุพิเศษอย่างอื่นอีก แสดงว่าเหตุอันจำเป็นที่อธิบดีกรมราชทัณฑ์ย้ายผู้ต้องหาที่ 1 ไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษธนบุรีย่อมหมดสิ้นไปแล้ว
ประกอบกับนายนราวิชญ์ เจ้าหน้าที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ได้เบิกความ ว่าหากมีการนำผู้ต้องหาที่ 1 ไปไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ น่าจะไม่มีปัญหาอะไร ไม่มีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องการแออัดและโรคโควิด-19 เมื่อเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นับว่าเป็นเรือนจำที่มีขนาดใหญ่มีประสิทธิภาพในการควบคุมดูแลและบริหารจัดการที่ดีที่สุดในประเทศไทย ซึ่งนักโทษคดีการเมืองคนสำคัญหลายคนไม่ว่าจะเป็น คดีกปปส. คดี นปช. และคดีนายอานนท์ นำภากับพวกล้วนแต่อยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ โดยไม่มีปัญหาอุปสรรคแต่อย่างใด เชื่อว่าอธิบดีกรมราชทัณฑ์สามารถควบคุมกำกับและดูแลได้เป็นอย่างดี เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิผู้ต้องหาที่ 1 ให้มีสิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกันทุกคนให้เป็นไปตามกฎหมายและความยุติธรรม จึงมีเหตุอันสมควรให้นำผู้ต้องหาที่ 1 กลับไปคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ทั้งนี้หากมีเหตุอันจำเป็นที่เกิดขึ้นใหม่ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ย่อมมีอำนาจที่จะย้ายผู้ต้องขังได้ตามกฎหมายอยู่แล้ว แต่ต้องรายงานให้ศาลทราบโดยเร็ว อย่าให้เกิดการล่าช้าขึ้นอีก เพราะอาจทำให้คู่ความหรือประชาชนที่ไม่รู้กฎหมายเข้าใจผิดและสับสนได้ว่าราชทัณฑ์ไม่ปฏิบัติตามหมายศาล และกฎหมายกรณีไม่จำต้องวินิจฉัยในประเด็นข้ออื่นตามคำร้องของทนายผู้ต้องหาที่ 1 อีกต่อไป เนื่องจากเป็นรายละเอียดปลีกย่อยไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลง
ทั้งนี้ได้กำชับทนายผู้ต้องหาที่ 1 ให้มีความระมัดระวังเรื่องการให้ข่าวสื่อมวลชนและการโพสต์ข้อความต่างๆ ลงในเฟซบุ๊กและแอปพลิเคชันไลน์ หรือสื่อสังคมออนไลน์อื่นเกี่ยวกับเรื่องที่พิจารณาคดีเนื่องจากอาจมีผลกระทบต่อการพิจารณาคดี และความปลอดภัยได้ มิฉะนั้นจะมีคำสั่งตามที่เห็นสมควรต่อไป.