คนไทยทั้งประเทศที่ตกอยู่ในความมืดมน ไม่รู้ว่าการแพร่ระบาดรอบ 2 ของโควิด-19 จะจบลงอย่างไร เพราะเป็นการแพร่ระบาดที่รวดเร็วกว่ารอบแรก บางวันตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นเฉียดพันคน แต่ถึงวันนี้คนไทยอาจเริ่มมองเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ เมื่อนายกรัฐมนตรีประกาศว่า คณะรัฐมนตรีอนุมัติให้ซื้อวัคซีนอีก 35 ล้านโดส

รัฐบาลจองซื้อวัคซีนไว้ก่อนหน้านี้ 26 ล้านโดส สามารถฉีดให้ประชาชนได้ 13 ล้านคน รวมกับลอตใหม่ 35 ล้านโดส ฉีดได้ 17 ล้านคน รวมเป็น 30 ล้านคน แต่ยังมีวัคซีนรายการด่วนที่ซื้อจากจีนอีก 2 ล้านโดส ที่จะเดินทางถึงไทย ในเดือนกุมภาพันธ์ ส่วนลอตแรก 26 ล้านโดส คาดว่าจะมาถึงไทยในเดือนมิถุนายนไม่นานจนเกินรอ

เท่านั้นยังไม่พอ รัฐบาลยังเตรียมจัดซื้อวัคซีนเพิ่มเติมอีก จากแหล่งอื่นๆ เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ และคาดว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจะเริ่มทดลองวัคซีนของไทยเอง ในช่วงหลังสงกรานต์ปีนี้ ผลการสำรวจความเห็นโดยศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) พบว่ามีคนต้องการวัคซีนถึงร้อยละ 68.9

สัญญาการจัดซื้อวัคซีน จากบริษัทแอสตราเซเนกา 26 ล้านโดส มีเงื่อนไขที่ดียิ่งอย่างหนึ่ง คือ ให้บริษัทสยามไซแอนซ์ของไทย จัดตั้งโรงงานและผลิตในประเทศไทย ประมาณปีละ 200 ล้านโดส จึงอาจมีเหลือขายให้ประเทศอื่นๆได้ด้วย และสิ่งที่ดียิ่งอีกอย่างก็คือ รัฐบาลจะฉีดวัคซีนป้องกันโควิดให้คนไทยฟรีๆ และเท่าเทียมกัน

หวังว่าจะไม่มีการใช้ระบบเส้นสาย ในการกำหนดว่าคนกลุ่มใดจะต้องได้รับวัคซีนก่อนหรือหลัง ถ้าหากทำตามกติกาของแพทย์ นั่นก็คือกลุ่มแรกที่จะได้รับวัคซีนได้แก่บุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มผู้เป็นโรคเรื้อรัง ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยง

จากนั้นจึงให้บริการประชาชนทั่วไป ถ้าทำตามกฎนี้โดยเคร่งครัดจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย เพราะทุกคนจะมีสิทธิเท่าเทียมกัน และให้บริการแก่ทุกคนโดยเสมอภาค ไม่เลือกปฏิบัติ ไม่เลือกว่าจะเป็นมหาเศรษฐี หรือยาจก เป็นการปลูกฝังวัฒนธรรมอันดีงาม ในการส่งเสริมความเท่าเทียม และลดความเหลื่อมล้ำ

...

แต่ในขณะที่นั่งรอการมาถึงของวัคซีนอยู่ในขณะนี้ บางคนอาจได้รับเร็ว บางคนอาจได้รับช้า สิ่งที่ทุกคนควรกระทำที่สุด คือการขอบคุณคณะบุคลากรทางการแพทย์ที่ช่วยให้อยู่รอดปลอดภัย และปฏิบัติตามคำแนะนำแพทย์อย่างเคร่งครัด นั่นก็คือสวมหน้ากากอนามัย รักษาระยะห่าง ล้างมือบ่อยๆ และอย่าเข้าไปในที่อโคจร.