“ศักดิ์สยาม” ประกาศนโยบายสานต่อโครงการปี 63 เร่งขับเคลื่อนแผนงานเชิงรุกปี 64 ลุยพัฒนาระบบคมนาคมสะดวก ปลอดภัย ตรงเวลา ราคาสมเหตุผล เพื่อคุณภาพชีวิตประชาชนที่ดีขึ้น
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังแถลงข่าวคมนาคมบูรณาการเชิงรุก สานต่อนโยบายเดิมสู่การขับเคลื่อนนโยบายปี 2564 มุ่งเน้นพัฒนาระบบคมนาคมให้มีความสะดวก ปลอดภัย ตรงเวลา และราคาสมเหตุสมผล เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชา ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มุ่งมั่นพัฒนาโครงข่ายคมนาคมขนส่งทั่วทั้งประเทศอย่างบูรณาการ ทั้งทางบก ราง น้ำและอากาศ เพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสร้างความอยู่ดีกินดีให้กับพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด สำหรับปี 2564 ยังคงเดินหน้าใส่เกียร์ 5 เต็มที่
ทั้งนี้ ในปี 2564 กระทรวงคมนาคม เดินหน้าพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านคมนาคมในเชิงรุก มุ่งเน้นการบูรณาการระหว่างรูปแบบการขนส่ง และการกำกับดูแลการพัฒนาระบบคมนาคมให้มีความสะดวก ปลอดภัย ตรงเวลา และราคาสมเหตุสมผล เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน สนับสนุนการพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืนด้วยการสานต่อนโยบายเดิมจากปี 2563 และการขับเคลื่อนนโยบายเพิ่มเติมปี 2564 ดังนี้
1. สานต่อนโยบายเดิมจากปี 2563 เพื่อให้นำไปสู่การปฏิบัติได้อย่างเป็นรูปธรรม
1.1 เร่งผลักดันการปรับเวลาเดินรถบรรทุก 10 ล้อขึ้นไป เพื่อแก้ไขปัญหาการจราจรและ ปัญหามลพิษในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล
1.2 เร่งจัดทำ Application Taxi เพื่อทดแทนเครื่องบันทึกข้อมูลการเดินทางของระบบ Taxi
1.3 เร่งพัฒนาระบบตั๋วร่วมให้สามารถใช้บัตรโดยสารเชื่อมโยงรถไฟฟ้าทุกระบบ
1.4 เร่งรัดพัฒนาการบริการรถ ขสมก. และการนำระบบบัตรโดยสารอิเล็กทรอนิกส์ (E-ticket) มาใช้อย่างเต็มรูปแบบ
1.5 เร่งพัฒนาระบบรถไฟทางคู่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการขนส่งทางราง
1.6 เร่งผลักดันการขนส่งสินค้าทางน้ำจากท่าเรือบางสะพาน จ.ประจวบคีรีขันธ์ ไปท่าเรือแหลมฉบัง
1.7 เร่งพัฒนาท่าอากาศยานภูมิภาคเป็นศูนย์รวบรวมผลผลิตและกระจายสินค้าเกษตร หรือสินค้าเน่าเสียง่ายออกสู่ตลาด
...
2. การขับเคลื่อนนโยบายเพิ่มปี 2564 เพื่อให้เดินหน้าการพัฒนาระบบคมนาคมเชิกรุก วางรากฐานการพัฒนาสู่อนาคต 10 เรื่อง ดังนี้
เรื่องที่ 1 ศึกษาแผนแม่บท MR-MAP เพื่อวางแผนการพัฒนามอเตอร์เวย์ให้สอดคล้องไป กับการขยายโครงข่ายรถไฟทางคู่และรถไฟความเร็วสูงทั่วประเทศ ซึ่งจะลดปัญหาการเวนคืนที่ดินซ้ าซ้อน ส่งเสริมการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคอย่างเป็นระบบ และบูรณาการโครงข่ายการขนส่งสินค้าอย่างมีประสิทธิภาพ
เรื่องที่ 2 ศึกษาแผนโครงการสะพานเศรษฐกิจเชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทย-อันดามัน หรือ Land Bridge โดยการพัฒนามอเตอร์เวย์ควบคู่กับรถไฟทางคู่ เชื่อมโยงระหว่างท่าเรือน้ำลึกที่จังหวัดชุมพรกับจังหวัดระนอง เพื่อลดเวลาและต้นทุนการขนส่งสินค้า เชื่อมต่อระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้กับการขนส่งและโลจิสติกส์ของทวีปเอเชีย ตะวันออกกลาง และยุโรป ทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งทางน้ำของภูมิภาคในอนาคต
เรื่องที่ 3 ตั้งศูนย์จัดจำหน่ายและกระจายสินค้า OTOP เพื่อส่งเสริมธุรกิจ การตลาด และเปิดช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าในพื้นที่สถานีขนส่ง สถานีรถไฟ สถานีรถไฟฟ้า และท่าอากาศยาน ก่อให้เกิดการกระจายรายได้ กระตุ้นเศรษฐกิจจากฐานราก รวมถึงอนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่น
เรื่องที่ 4 สร้างสรรค์พื้นที่เพื่อสาธารณประโยชน์ ด้วยการปรับภูมิทัศน์พื้นที่ว่างของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.)ให้สวยงามร่มรื่น และจัดพื้นที่ใช้สอยให้เกิดประโยชน์ เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนในพื้นที่
เรื่องที่ 5 ผลักดันการใช้เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV สำหรับใช้ในระบบขนส่ง สาธารณะ เช่น รถโดยสารไฟฟ้า เรือโดยสารไฟฟ้า และการน าระบบ EV พลังงาน Battery on Train มาใช้กับรถไฟไทย เพื่อประหยัดพลังงาน ลดมลพิษ ส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม และยกระดับระบบขนส่งสาธารณะของประเทศไทยให้เป็นสากล
เรื่องที่ 6 ศึกษาและกำหนดแนวทางการใช้รถไฟฟ้าล้อยาง ในการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนหลักในภูมิภาค ซึ่งใช้งบประมาณต่ำกว่ารถไฟฟ้าขนาดใหญ่ เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของประชาชนมาใช้ระบบขนส่งสาธารณะ และเตรียมพร้อมยกระดับการพัฒนาระบบเป็นรถไฟฟ้ารางหนัก (Heavy Rail) ในอนาคตต่อไป
เรื่องที่ 7 พัฒนาระบบขนส่งมวลชนขนาดรอง (Feeder) เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางจากย่านธุรกิจหรือชุมชนต่างๆ เข้าสู่ระบบรถไฟฟ้าหลัก อำนวยความสะดวกในการเดินทางจากบ้านไปยังจุดปลายทางถึงที่หมาย ส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใช้ระบบขนส่งมวลชนมากขึ้น และลดการใช้รถยนต์ส่วนบุคคลเพื่อการแก้ปัญหาการจราจรอย่างยั่งยืน
เรื่องที่ 8 เร่งรัดการเปิดให้บริการโครงการระบบรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดงและสถานีกลางบางซื่อ โดยพร้อมเปิดให้บริการแก่ประชาชนอย่างเต็มรูปแบบในปี 2564 เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางจากใจกลางเมืองสู่ปริมณฑลและภูมิภาคต่างๆ ของประเทศได้อย่างสะดวกรวดเร็ว โดยมีสถานีกลางบางซื่อเป็นศูนย์กลางการเดินทางด้วยระบบรางยุคใหม่ที่ทันสมัยเทียบเท่าสถานีรถไฟฟ้าชั้นนำของโลก
เรื่องที่ 9 แก้ไขปัญหาการจราจรติดขัดในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล โดยบูรณาการโครงข่ายทางหลวง มอเตอร์เวย์และทางด่วนพิเศษเข้าด้วยกัน จำนวน 4 เส้นทาง ได้แก่ 1. มอเตอร์เวย์ช่วงศรีนครินทร์ – สุวรรณภูมิ 2. ถนนประเสริฐมนูกิจ-งามวงศ์วาน 3. ทางด่วนขั้นที่ 1 ต่างระดับอาจณรงค์ และ 4. ทางด่วนขั้นที่ 1 ช่วงสะพานพระราม 9 - พระราม 2 เพื่อลดความแออัด และเพิ่มทางเลือกในการเดินทาง ให้แก่ประชาชน
เรื่องที่ 10 แก้ปัญหาการจราจรในจังหวัดภูเก็ต โดยบูรณาการโครงข่ายทางพิเศษ สายกะทู้-ป่าตอง ระยะทาง 3.98 กม. ของการทางพิเศษแห่งประเทศไทย กับโครงข่ายทางหลวงแนวใหม่ สายเมืองใหม่-เกาะแก้ว ระยะทาง 22.4 กม. ของกรมทางหลวง เพื่อเชื่อมโยงการเดินทางท่องเที่ยวจากท่าอากาศยานจังหวัดภูเก็ต จังหวัดกระบี่ จังหวัดพังงา เข้าสู่ตัวเมืองภูเก็ตได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ลดความแออัดบนทางหลวงหมายเลข 402
เรื่องที่ 11 วางระบบติดตามโครงการขนาดใหญ่ เพื่อบูรณาการการบริหาร สั่งการติดตามผล และแก้ไขปัญหาในการดำเนินการโครงการขนาดใหญ่ เช่น ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางปะอิน-นครราชสีมา ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางใหญ่-กาญจนบุรี โครงข่ายรถไฟทางคู่ และรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-นครราชสีมา ครอบคลุม 4 มิติ ได้แก่ มิติการประชาสัมพันธ์ มิติการเร่งรัดการก่อสร้าง มิติการบริหารจราจรและมิติการบริหารพื้นที่ร่วมกับโครงการอื่น เพื่อให้การดำเนินโครงการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อประชาชนโครงการเหล่านี้ จะเป็นการวางรากฐานการเชื่อมโยงโครงข่ายและบริการด้านคมนาคมอย่างบูรณาการ มุ่งเน้นประสิทธิภาพในการบริหารจัดการและการพัฒนาอย่างเป็นองค์รวม ทั้งทางเศรษฐกิจสังคม และสิ่งแวดล้อม เพื่อนำไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนของประเทศต่อไป.