"บิ๊กลือ" เปิดพระราชวังเดิมอำลาหน่วยกองทัพเรือพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มอบโอวาทครั้งสุดท้ายให้กำลังพล พร้อมขอบคุณทุกคนที่ร่วมมือร่วมใจกัน ทำให้กองทัพเรือมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีเกียรติภูมิ และทำให้ทหารเรือเป็นกองทัพของประชาชน และหากที่ใดมีศัตรู ที่ใดมีอันตราย ที่นั่นย่อมมีทหารของกองทัพเรือ


เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 28 ก.ย.63 พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้เยี่ยมอำลากำลังพลกองทัพเรือ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ในโอกาสเกษียณอายุราชการ ณ กองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชวังเดิม โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของกองทัพเรือ และหัวหน้าหน่วยขึ้นตรงกองทัพเรือในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวม 28 หน่วย เข้าร่วมพิธี

โอกาสนี้ ผู้บัญชาการทหารเรือ ได้มอบโอวาทแก่กำลังพล ความว่า การอำลาหน่วยในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลครั้งนี้ แตกต่างจากทุกครั้งที่ใช้โรงเรียนนายเรือ สมุทรปราการ เป็นสถานที่เยี่ยมอำลาครั้งสุดท้ายก่อนเกษียณอายุราชการ แต่คราวนี้ใช้กองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชวังเดิม ซึ่งในอดีตคือโรงเรียนนายเรือ เป็นสถานที่เยี่ยมอำลา ด้วยเพราะที่แห่งนี้คือจิตวิญญาณของกองทัพเรือ ล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ได้ทรงมาเปิดโรงเรียนนายเรือ ณ ที่แห่งนี้ รากแก้วรากแรกได้หยั่งลง ณ ที่นี้ จากนั้นได้ขยายเป็นรากแขนง รากฝอย นำพากองทัพเรือเติบโตโดยลำดับ เหมือนดังเมล็ดพันธุ์ที่หว่านลงในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ มีการเติบโต มั่นคง แข็งแรง จากทหารเรือที่ต้องสะพายดาบ แบกปืนคาบศิลา ล้าสมัย ไปรบราฆ่าฟันกับอริราชศัตรู ด้วยพระปรีชาสามารถของพระเจ้าอยู่หัว ได้ส่งพระราชบุตรเชื้อพระวงศ์ไปศึกษายังต่างประเทศมาสร้างกองทัพเรือ เป็นกองทัพเรือสมัยใหม่ที่เข้มแข็ง รบได้ทั้งสี่มิติในปัจจุบัน นี่คือรากเหง้าจิตวิญญาณที่เจริญเติบโตมา

...

ประการที่สองอยากจะฝากไว้ก็คือ ด้วยสถานการณ์ที่เราเผชิญในโลกปัจจุบันคือ โควิด-19 ที่เราต้องสวมหน้ากากอนามัยกันทุกผู้ทุกคน จึงไม่อยากรบกวนพวกเรามากจนเกินไปนัก อย่างที่บอกไว้ว่า ที่นี่คือศูนย์รวมจิตวิญญาณ เราควรจะสวมบทคืนสู่สามัญ เป็นของเตือนใจว่า เมื่อถึงจุดนั้นทุกคนก็ต้องคืนสู่สามัญ สิ่งที่ฝากไว้ก็คือความเจริญงอกงามของกองทัพเรือ แตกกิ่งก้านสาขาต่อไป คนรุ่นหลังเป็นคลื่นลูกต่อๆ ไป คลื่นระลอกเเล้วระลอกเล่า ถาโถม ซัดสาดเข้าฝั่งฉันใด พวกเราก็เป็นเช่นนั้น ผู้บัญชาการทหารเรือคนนี้อำลาไป คนใหม่ก็ต้องมา น้องๆ ที่อยู่ตรงหน้าบางคนก็ทำงานด้วยความเข้มแข็งในเยาว์วัย บางคนก็เริ่มโรยรา คนรุ่นหลังต้องสามารถทดแทนและดีกว่าคนรุ่นแรกๆ โดยลำดับ เช่นนี้ก็เชื่อได้ว่ากองทัพเรือของเราจะเข้มแข็งมั่นคงปลอดภัย เราก็เหมือนต้นไม้ที่แข็งแรงต้องเติบโตต่อไป รดน้ำพรวนดิน ต้องแตกกิ่งก้านสาขาออกดอกออกผลต่อไปนี่คือสิ่งที่มีความหมายของสองปีที่ผ่านมา

"ผมเคยพูดเสมอว่า เกียรติยศไม่ได้มีมาแต่กำเนิด แต่เกิดจากการกระทำ นี่คือสิ่งที่ยึดอยู่เสมอ และก็หวังว่าพวกเราจะยึดเช่นนี้ ทุกคนมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ไม่ใช่ว่าเราคุยโม้ อวดโอ้ ยกย่องตัวเอง แต่ต้องเป็นผู้อื่นต่างหากที่จะต้องชื่นชมเรา จึงจะมีเกียรติยศชื่อเสียงสืบไป เช่นเดียวกับที่ผู้บัญชาการพยายามทำ ให้คำขวัญว่ากองทัพเรือเป็นกองทัพของประชาชน หายใจ เชื่อมใจ ประสานใจ มีชะตาชีวิตร่วมกันกับประชาชน ที่ใดมีศัตรู ที่ใดมีภัย ที่นั่นย่อมมีทหารของกองทัพเรือ เป็นกองทัพที่ประชาชนเชื่อมั่นและภาคภูมิใจ"

หากเป็นเช่นนี้ สิ่งต่างๆ ที่เราทำ ก็จะกลับคืนมาเป็นที่ชื่นชมของประชาชนทั่วไป เป็นที่รักของประชาชน มีเกียรติมีศักดิ์ศรี กองทัพเรือมีหน้ามีตามีชื่อเสียง เกิดได้เพราะอะไร ไม่ใช่เหตุเพราะผู้บัญชาการมีความรู้ความสามารถ แต่เกิดจากความร่วมมือร่วมใจของพวกเราต่างหาก ที่ร่วมมือรับบทบาทหน้าที่ที่พวกเราเองทำ มีมากทำมาก มีน้อยทำน้อย บางครั้งสถานการณ์ไม่ดีไม่เอื้ออำนวยต่อการทำ ก็ศึกษาหาความรู้ไป แต่โดยรวมทุกคนทำบทบาทของตัวเองได้ดีแล้ว เมื่อดีแล้ว ไม่ต้องหวังสิ่งตอบแทน สักวันหนึ่งสิ่งเรานั้นจะกลับคืนมาตอบแทนเรา อย่างน้อยเมื่อเดินไปไหน แหงนหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน นี่คือสิ่งที่ผมอยากจะพูดกับพวกเราเป็นอนุสติเตือนใจ เป็นคำพูดเชิงโอวาทครั้งสุดท้าย ผู้บัญชาการเองต้องอำลาราชการไป ไม่เว้นทุกผู้ทุกคนเป็นเช่นนี้เมื่อถึงวันก็ต้องอำลา ในเวลานี้ก็ขอขอบคุณพวกเราทุกคนที่อยู่ที่นี้ และยังไม่ได้มา ที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ขอขอบคุณทุกผู้ทุกคนที่ร่วมมือร่วมแรงร่วมใจกัน ทำให้กองทัพเรือมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี มีเกียรติภูมิ



"ทหารเรือต้องเป็นกองทัพทหารของประชาชน หายใจ เชื่อมใจ และมีชะตาชีวิตร่วมกันกับประชาชน สู้เพื่อรับใช้ประชาชน ที่ใดมีศัตรู ที่ใดมีอันตราย ที่นั่นย่อมมีทหารของกองทัพเรือ ให้สมกับคุณค่าที่ส่งมอบให้กับสังคม เป็นกองทัพเรือ ที่ประชาชนเชื่อมั่น และภาคภูมิใจ"