นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน ย้ำ “ประยุทธ์” ยิ่งบริหารยิ่งล้มเหลว ซัด งานประจำ "เบี้ยคนชรา-งบประมาณ"ยังทำผิดพลาด ตอกย้ำกระแสรัฐบาลถังแตก ปลุก ประชาชนออกมาขับไล่กัน เพื่ออนาคต

วันที่ 16 ก.ย. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า สภาวะเศรษฐกิจของไทยเสื่อมถอยลงอย่างมาก ซึ่งจะส่งผลต่อรายได้ของรัฐบาลในปัจจุบันและอนาคต แต่แทนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รมว.กลาโหม และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ จะบริหารเพื่อสร้างความมั่นใจ กลับทำลายความมั่นใจให้หมดไป แม้กระทั่งงานประจำง่ายๆ อย่าง การจ่ายเบี้ยคนชรา และ เบี้ยคนพิการ ยังไม่สามารถจ่ายให้ตรงเวลาได้ ทำให้ตอกย้ำกระแสของรัฐบาลถังแตก โดยรัฐบาลแก้ตัวว่าสาเหตุของการจ่ายเงินล่าช้าเพราะคนแก่และคนพิการเพิ่มเยอะ ทำให้จ่ายไม่ทัน ซึ่งเมื่อฟังแล้วไม่น่าจะใช่เหตุผลที่แท้จริง เพราะพลเอกประยุทธ์บริหารประเทศมากว่า 6 ปีแล้ว คนชรา และ คนพิการ ก็ต้องเพิ่มขึ้นทุกปี จะมาอ้างแบบนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้ น่าจะมาจากการบริหารงานที่ด้อยประสิทธิภาพ และรายได้รัฐอาจจะขาดจริงทำให้จ่ายเงินไม่ทัน หรืออาจเพราะขาด รมว.คลัง ที่มีความรู้ ความสามารถ เข้ามาบริหาร จึงทำให้เงินคงคลังไม่พอจ่าย ทั้งที่กระทรวงการคลัง สามารถจัดหาเงินมาจ่ายก่อนได้อยู่แล้วแต่กลับไม่ทำ และ พล.อ.ประยุทธ์ เอง ก็น่าจะต้องได้สำนึกแล้วว่า ทำไมถึงไม่มีคนที่มีชื่อเสียงยอมมาเป็น รมว.คลัง ให้กับรัฐบาลนี้ ทั้งๆ ที่ปกติแล้วตำแหน่งนี้มีแต่คนแย่งกันเป็น

นายพิชัย กล่าวต่อว่า อีกทั้ง งบประมาณปี 2564 จะเสร็จไม่ทันปีงบประมาณ และต้องใช้งบปี 2563 ไปก่อน ซึ่งจะไม่สามารถใช้งบเพื่อการลงทุนได้ ใช้ได้แต่เฉพาะงบประจำ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยที่ต้องการการอัดฉีดเงินลงทุนอย่างเร่งด่วนเพื่อฟื้นเศรษฐกิจต้องล่าช้าไปอีก และจะทำให้เศรษฐกิจย่ำแย่ลงกว่าเดิม ยิ่งตอกย้ำความไม่มีประสิทธิภาพให้ชัดเจนขึ้น ทั้งที่รัฐบาลน่าจะเรียนรู้จากประสบการณ์ตั้งแต่ปีที่แล้วที่งบประมาณล่าช้าเพราะติดการเลือกตั้งและการตั้งรัฐบาลที่ต้องใช้ตัวช่วยมาก ทำให้เสียเวลามาก ปีนี้รัฐบาลมีเวลาเตรียมงานมานาน ซึ่งไม่น่าจะพลาดอีก แต่ก็พลาดจนได้ หรืออาจจะเป็นเพราะต้องการบีบให้สภาเร่งอนุมัติงบประมาณเพื่อให้มองข้ามค่าใช้จ่ายบางประเภทที่ไม่อยากให้สภาตรวจสอบละเอียด เช่นในปีที่แล้วมีการค่าทนายในคดีปิดเหมืองทองคำ จำนวน 218 ล้านบาท ที่เพิ่งตรวจเจอในปีนี้ เพราะต้องจ่ายเพิ่มอีก 111 ล้านบาท เป็นต้น

...

อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า นอกจากนี้ การช่วยเหลือและสนับสนุน ธุรกิจ SMEs และ เงินกู้เพื่อฟื้นเศรษฐกิจ การดำเนินการเป็นไปอย่างล่าช้า แถมยังมีการเบิกจ่ายไม่ตรงจุด ทำให้แก้ปัญหาเศรษฐกิจไม่ได้ โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก และทำให้คนว่างงานเพิ่มขึ้นสูง แต่รัฐบาลกลับแก้ตัวว่าที่นายกสมาคมโรงแรมอ้างว่ามีคนว่างงาน 1 ล้านคน เป็นตัวเลขเก่าจากเดือนเมษายน ตอนนี้น่าจะลดลง ซึ่งสวนกับความเป็นจริงอย่างมาก เพราะสภาวะปัจจุบันยิ่งย่ำแย่กว่าเดือนเมษายนมาก และน่าจะมีคนตกงานเพิ่มขึ้นอีกเป็นล้านๆ คน ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด เพราะนักท่องเที่ยวต่างประเทศยังเข้ามาไม่ได้ แล้วธุรกิจท่องเที่ยวจะฟื้นได้อย่างไร รัฐบาลต้องเลิกแก้ตัวมั่วๆ ได้แล้ว แม้แต่เรื่องที่พลเอกประยุทธ์ยอมรับเองว่าเป็นคนพูดมาก (แบบไม่มีสาระ) ยังแก้ตัวว่ามาจากสมัยเด็กครูไม่ให้ถาม ซึ่งนอกจากแสดงถึงปัญหาของระบบการศึกษาของไทยที่จะต้องปรับปรุงแล้ว ยังสะท้อนไปถึงผู้นำที่ไม่เคยโทษตัวเองแต่โทษคนอื่นทุกเรื่อง และพลเอกประยุทธ์เองก็ยังปิดกั้นนักศึกษาที่ออกมาชุมนุมเพื่อถามหาอนาคตของพวกเขาเองภายใต้การบริหารประเทศที่ล้มเหลวนี้

ในเรื่องการว่างงาน รมว.แรงงาน ยังกล้าออกมาโทษการชุมนุมของนักศึกษาและประชาชนว่าเป็นสาเหตุของการว่างงาน ยิ่งทำให้รัฐบาลหมดความน่าเชื่อถือ ทั้งที่ความจริงสภาวะการว่างงานเกิดขึ้นก่อนจะมีการระบาดไวรัสโควิดแล้ว โดยคาดกันว่าจะมีการว่างงานกว่า 5 แสนคน แต่พอมีการระบาดของไวรัสและการจัดการที่ผิดพลาดของรัฐบาลยิ่งทำให้การว่างงานเพิ่มสูงขึ้นมาก และอาจสูงขึ้นไปถึง 8 ล้านคน แต่กลับโทษไปที่การชุมนุม ซึ่งทำให้นักศึกษาและประชาชนไม่พอใจและน่าจะออกมาชุมนุมกันมากขึ้นในวันที่ 19 กันยายนนี้ นอกจากนี้พลเอกประยุทธ์ยังโทษว่า การชุมนุมของประชาชนเป็นหมื่นเป็นแสนคน จะทำให้วุ่นวายและคน 60 ล้านคนจะเดือดร้อน โดยพลเอกประยุทธ์ควรจะต้องคิดเองได้แล้วว่า ถ้าพลเอกประยุทธ์ลาออกคนเดียว คน 60 ล้านก็จะไม่เดือดร้อนเช่นกัน เพราะยิ่งอยู่นานประเทศยิ่งเสื่อมถอย

"ทั้งนี้ เพราะขนาดเป็นงานประจำง่ายๆ เช่น การจ่ายเบี้ยคนชราและเบี้ยคนพิการ การทำงบประมาณ การช่วยเหลือ SME ฯลฯ พลเอกประยุทธ์ยังไม่มีปัญญาจะบริหารให้ราบรื่นได้ ยิ่งบริหาร ยิ่งล้มเหลว นับประสาอะไรกับการฟื้นเศรษฐกิจไทยที่จะเป็นเรื่องที่ยากกว่ามาก พลเอกประยุทธ์จะเอาปัญญาที่ไหนมาฟื้นเศรษฐกิจได้ ตลอด 6 ปีที่บริหารมา มีแต่เสื่อมถอยลงมาตลอด นักศึกษาและคนรุ่นใหม่หมดหวังกับอนาคต ต่อให้เรียนหนังสือดี จบมาก็ไม่สามารถหางานทำได้ อนาคตถูกปิดกั้น เพราะรัฐบาลที่สืบทอดระบอบเผด็จการ มีแต่คนรอบตัวและพวกพ้องเท่านั้นที่จะสามารถหาเงินจำนวนมากได้ หากเป็นแบบนี้ต่อไป ประเทศไทยก็จะหมดอนาคต จึงจำเป็นที่นักศึกษาและประชาชนจะต้องออกมาขับไล่กันให้มากๆ เพื่อทวงอนาคตของตัวเองและของประเทศให้กลับคืนมา ผมขอสนับสนุนและชื่นชมนักศึกษาทุกคนที่ออกมาต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความถูกต้องของประเทศนี้" นายพิชัย กล่าว...