นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน ชี้ “ประยุทธ์” ซื้อเรือดำน้ำ เท่ากับทำลายทีมเศรษฐกิจใหม่ ตั้งแต่เริ่ม ห่วงรัฐบาล ยิ่งกว่าถังแตก แนะนายกฯ "ไก่อู" ผิดซ้ำซ้อน ต้องปลดออก

วันที่ 24 ส.ค. นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวว่า การส่งออกในเดือนกรกฎาคมมีแนวโน้มที่จะติดลบหนัก ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 น่าจะยังคงติดลบหนักอย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 2 ที่ติดลบหนักถึง 12.2% ซึ่งเป็นผลให้รัฐบาลไม่สามารถเก็บภาษีได้ตามเป้า จึงต้องกู้เงินเพิ่มขึ้นอีก เลยเป็นสาเหตุที่มีข่าวบอกว่ารัฐบาลถังแตก ซึ่งก็จริงเพราะรายได้ไม่พอกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นมาก แม้รัฐบาลจะพยายามจะปฏิเสธว่าไม่ได้ถังแตก แต่ความจริงคือ สภาวะที่เป็นอยู่นี้จะหนักยิ่งกว่าถังแตกเสียอีก โดยอาจจะถึงขั้นล้มละลายเลย เพราะปัจจุบันรัฐบาลทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นถึง 8.21 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 51.64% ของจีดีพี และรัฐบาลจะต้องกู้เงินเพิ่มมากขึ้นอีกเรื่อยๆ ในขณะที่จีดีพีจะติดลบ เปรียบเหมือนครอบครัวที่ต้องกู้หนี้ยืมสินเพิ่มขึ่้นเรื่อยๆ แต่รายได้กลับลดลงก็คงจะรอวันล้มละลาย โดยรัฐบาลจะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพีเพิ่มสูงเกิน 60% ของจีดีพี ซึ่งเป็นสัดส่วนสูงสุดที่ประเทศกำลังพัฒนาไม่ควรมีหนี้เกิน เพราะจะทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ โดยเฉพาะที่ประเทศไทยมีสัดส่วนการเก็บภาษีได้เพียง 16-17% ของจีดีพีเท่านั้น การมีหนี้ชนเพดานจะทำให้ประเทศไทยไม่สามารถกู้เงินเพิ่มเพื่อมาพัฒนาประเทศ หรือช่วยเหลือประชาชนได้อีก เพราะจะเสี่ยงต่อสถานะการเงินการคลังของประเทศ ดังนั้นปัญหาที่เป็นอยู่จะหนักกว่าการถังแตกมาก โดยหมายถึงอนาคตที่ประเทศจะมีหนี้สาธารณะเกินกำหนด แต่จีดีพีกลับไม่เพิ่มและยังติดลบหนักอีก จากความล้มเหลวในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาลมาตลอดหลายปีนี้ และรัฐบาลในอนาคตจะไม่สามารถกู้เงินมาฟื้นเศรษฐกิจได้เพราะหนี้เต็มวงเงินแล้ว

...

ดังนั้น ในภาวะเช่นนี้รัฐบาลจะต้องใช้เงินทุกบาททุกสตางค์อย่างระมัดระวังเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและต้องจ่ายแล้วจีดีพีจะต้องเพิ่มความสุขของประชาชนจะต้องเพิ่ม ไม่จ่ายสะเปะสะปะแบบไม่มีทิศทางเหมือนที่ผ่านมา ที่ถึงขนาดต้องเปลี่ยนทีมเศรษฐกิจยกชุด แต่ถึงกระนั้นล่าสุด ส.ส.ฝั่งรัฐบาลยังกล้าโหวตที่จะอนุมัติซื้อเรือดำน้ำ 2 ลำ จำนวนเงิน 22,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองและไม่มีเหตุผลในภาวะเศรษฐกิจที่ประชาชนลำบากกันอย่างมากนี้ รัฐบาลทำเหมือนไม่สนใจและไม่แคร์ต่อความรู้สึกของประชาชนเลย ทั้งๆ ที่สังคมเพิ่งจะตำหนิการซื้อเครื่องบินสำหรับวีไอพีของกองทัพ จำนวนเงิน 1,348.5 ล้านบาท กระแสต่อต้านการซื้อเรือดำน้ำนี้จึงมีอย่างมาก เพราะจะเป็นการใช้เงินอย่างไม่เกิดประโยชน์ รัฐบาลน่าจะนำเงินดังกล่าวมาฟื้นฟูเศรษฐกิจหรือช่วยประชาชนที่กำลังลำบากมากกว่า

นายพิชัย กล่าวต่อว่า การโหวตอนุมัติการซื้อเรือดำน้ำของ ส.ส.ฝั่งรัฐบาลครั้งนี้ นอกจากจะแสดงความไม่ฉลาดของรัฐบาลที่ทำให้ประชาชนไม่พอใจกันอย่างมากแล้ว ยังเป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของทีมเศรษฐกิจที่ปรับเปลี่ยนใหม่ของรัฐบาลอย่างหมดสิ้นตั้งแต่เพิ่งจะเริ่มทำงาน เพราะประชาชนต้องสงสัยว่าเหตุใดทีมเศรษฐกิจใหม่ เช่น นายสุพัฒนพงษ์ และ นายปรีดี จึงไม่คัดค้านเรื่องดังกล่าว ถ้าจะอ้างว่าไม่เกี่ยวข้องก็ยิ่งหมดความน่าเชื่อถือไปกันใหญ่ เพราะถ้าทีมเศรษฐกิจใหม่ไม่สามารถจะคัดค้านการใช้เงินอย่างสูญเปล่าได้ ทีมเศรษฐกิจก็ไม่มีทางที่จะฟื้นเศรษฐกิจที่เป็นปัญหาที่ยากลำบากกว่านี้ได้ และควรจะลาออกไปตั้งแต่ตอนนี้เลย เพราะอยู่ต่อไปเศรษฐกิจก็จะยิ่งแย่กว่านี้ การที่ทีมเศรษฐกิจใหม่ขายฝันว่าจะทำให้เกิดการจ้างงานเพิ่ม 1 ล้านคน ซึ่งก็ไม่รู้จะสร้างงานมาจากไหน และถ้ายังหยุดการใช้เงิน 22,500 ล้านบาทแบบมั่วๆ นี้ ไม่ได้ ก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะทำอะไรได้ และประชาชนจะไม่ให้ความสนใจและหมดความมั่นใจกับทีมเศรษฐกิจใหม่นี้ทันทีเลย ซึ่งทุกวันนี้พูดอะไรก็ไม่มีใครฟังกันอยู่แล้ว จนแทบไม่รู้เลยว่าทีมเศรษฐกิจใหม่มีทิศทางอย่างไร

อดีต รมว.พลังงาน ยังพูดถึงการซื้ออาวุธ ก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิด GT 200 ที่ต่อมากลายเป็นการหลอกลวง และคนที่ออกมาอธิบายแก้ตัวให้กองทัพว่าใช้งานได้ดี คือ พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด หรือ เสธ.ไก่อู อดีตโฆษกรัฐบาล และเป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ในปัจจุบัน คนเดียวกับที่เคยเสนอผังล้มเจ้าใส่ร้ายคนจำนวนมาก และต่อมาออกมายอมรับเองว่าผังล้มเจ้าไม่มีจริง โดยหลังจากที่เป็นอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์แล้ว ถูกรองอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ฟ้องร้องและมีหลักฐานชัดเจนในการสั่งลูกน้องในกรมประชาสัมพันธ์นำข้อมูลที่เป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์โดยใช้เครือข่ายกรมประชาสัมพันธ์เป็นเครื่องมือในการใส่ร้ายพรรคคู่แข่งของรัฐบาลในช่วงเลือกตั้ง อีกทั้งรองอธิบดีฯ ยังร้องเรียนโดยมีหลักฐานการทุจริตการก่อสร้างด้วย ซึ่งคดียังไม่ได้คืบหน้าเลย ทั้งที่มีหลักฐานชัดเจน และล่าสุดกรมประชาสัมพันธ์ยังปล่อย 2 คลิป เรื่องแม่ และเรื่องธงชาติ ออกมาสร้างความแตกแยก และใส่ร้ายนักศึกษาและผู้เห็นต่าง จนถูกต่อต้านอย่างมากจนต้องลบคลิปไป และพลโทสรรเสริญออกมาปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้อง ทั้งที่มีการใช้โครงข่ายของกรมประชาสัมพันธ์ ดังนั้นด้วยความผิดซ้ำซ้อนในหลายเรื่องของ พลโทสรรเสริญ พลเอกประยุทธ์ น่าจะต้องพิจารณาปลดพลโทสรรเสริญออกจากตำแหน่งอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์แล้ว มิเช่นนั้นพลเอกประยุทธ์จะต้องรับผิดชอบในการกระทำของพลโทสรรเสริญทั้งหมดไว้เอง.