ผลการต่อสู้แย่งชิงตำแหน่งรัฐมนตรีภายในพรรคพลังประชารัฐ จนเกิดการแตกแยกครั้งใหญ่ในพรรค กลุ่มผู้ชนะได้มาซึ่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน รวมทั้งรัฐมนตรีช่วยว่าการ และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี รวมเป็น 3 ตำแหน่ง ไม่ทราบว่า คุ้มกับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความเอือมระอาในหมู่ประชาชนหรือไม่

แต่ผู้ที่นั่งอยู่เฉยๆโดยไม่ต้องไปทะเลาะกับใครกลับได้ตำแหน่งเพิ่มขึ้น นั่นก็คือนายดอน ปรมัตถ์วินัย ที่ได้เป็นรองนายกรัฐมนตรีอีกเก้าอี้ ทำให้รองนายกรัฐมนตรีครบครึ่งโหลพอดี นายกรัฐมนตรีชี้แจงเหตุผลว่าต้องการยกระดับของกระทรวงการต่างประเทศ ให้สามารถดำเนินการในเรื่องธุรกิจและฟื้นฟูเศรษฐกิจหลังยุคโควิด–19

ชื่อรัฐมนตรีในทีมเศรษฐกิจใหม่ ไม่ได้สร้างความตื่นเต้น เพราะเป็นชื่อที่เป็นข่าวมานานหลายสัปดาห์ แต่คนไทยทั้งหลายก็ต้องฝากความหวังไว้กับทีมเศรษฐกิจใหม่ที่มีภารกิจที่หนักหนาสาหัสรออยู่ เพราะไม่ได้เข้ามาแก้ปัญหาเศรษฐกิจธรรมดา แต่ต้องเผชิญหน้ากับมหาวิกฤติเศรษฐกิจที่รุนแรงกว่าวิกฤติต้มยำกุ้ง

องค์กรเศรษฐกิจต่างๆล้วนแต่แข่งกันปรับลดการขยายตัวของจีดีพีของปี 2563 ให้ติดลบหรือหดตัวโดยถ้วนหน้า และไม่ใช่ติดลบธรรมดา แต่อาจลบถึง 10% ดร.ธนวรรธณ์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ให้ติดลบ 9.4% เพราะอิทธิฤทธิ์ของโควิด ทำให้เศรษฐกิจประเทศเสียหายแล้วกว่า 2 ล้านล้านบาท จากการส่งออกและท่องเที่ยว

เห็นได้ชัดว่าสาเหตุสำคัญที่ทำ ให้เศรษฐกิจไทยเสียหายหนัก เพราะพึ่งพา ต่างประเทศมากเกินไป โดยเฉพาะการส่งออกและการท่องเที่ยว ประธานสภา อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ชี้แจงว่า การท่องเที่ยว ไทยมีมูลค่าปีละ 3 ล้านล้านบาท ปีนี้มีคนตกงานแล้ว 3 ล้านคน และอาจเพิ่มเป็น 6–7 ล้านคน

...

ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยเห็นว่า งบประมาณฟื้นฟูเศรษฐกิจของรัฐน่าจะไม่เพียงพอ จึงขอเสนอให้กู้เพิ่มอีก 1 ล้านล้านบาท พร้อมทั้งตั้งคณะทำงานเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจร่วมภาครัฐกับ เอกชนมีเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องทำ นั่นก็คือการช่วยเหลือวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม ให้เข้าถึงสินเชื่อ และยืดหนี้ไป 2 ปี

วิกฤติคราวนี้ใหญ่หลวงนัก จึงต้องร่วมมือกันทั้งภาครัฐ และเอกชน นักวิชาการบางคนคาดว่าอาจต้องใช้เวลาถึง 3 ปี ถึงปี 2566 จึงจะกลับสู่ภาวะปกติ ทุกฝ่ายจึงต้องเร่งดำเนินการ แต่ต้องไม่ให้เกิดเรื่องฉาวโฉ่ ดังที่เกิดขึ้นใน กมธ. งบประมาณของสภาผู้แทนราษฎร และต้องไม่มุ่งแจกเงิน แต่ต้องสร้างงานด้วย.