(ภาพ) สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์
เพิ่มจุดแข็ง...ลบจุดอ่อน มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งรัฐมนตรีแล้ว 7 คน 8 ตำแหน่ง ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ได้กราบบังคมทูลว่า ได้มีรัฐมนตรีลาออกจากตำแหน่ง
สมควรแต่งตั้งรัฐมนตรีแทนตำแหน่งที่ว่างและเพิ่มเติมบางตำแหน่งเพื่อความเหมาะสมและบังเกิดประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน
1.นายดอน ปรมัตถ์วินัย เป็นรองนายกฯ อีกตำแหน่งหนึ่ง
2.นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ เป็นรองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
3.นายอนุชา นาคาศัย เป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ
4.นายปรีดี ดาวฉาย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
5.นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม
6.นายสุชาติ ชมกลิ่น เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน
7.นางนฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน
ครับ...ก็เป็นไปตามโผที่ออกมาก่อนหน้านี้เพียงแต่นายดอน ซึ่งมีข่าวว่าจะไม่รับตำแหน่งรัฐมนตรีแล้วเนื่องจากมีปัญหาด้านสุขภาพ
ที่ไหนได้นอกจากยังคงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศต่อไปแล้วยังขยับความรับผิดชอบสูงขึ้นคือรองนายกฯอีกด้วย
เท่ากับว่าเป็นการเพิ่มบทบาทให้กับรัฐมนตรีต่างประเทศอย่างหลายประเทศที่ถือว่าเป็นเบอร์ 2 รองจากผู้นำประเทศ
แต่ของไทยนั้นที่ปฏิบัติกันมาให้ความสำคัญกับรัฐมนตรีมหาดไทยมากกว่ารัฐมนตรีต่างประเทศ เพราะคุมพื้นที่และมวลชนทั่วประเทศ
ถือเป็นตำแหน่งสำคัญในด้านความมั่นคงและมีผลต่อการหาเสียงสนับสนุนต่อพรรคการเมืองที่เป็นแกนนำรัฐบาล
จึงไม่แปลกที่พรรคพลังประชารัฐต้องการเสนอชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคให้เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย
...
ทว่า พล.อ.ประวิตรปฏิเสธที่จะรับตำแหน่งนี้
เช่นกันว่า นายสุพัฒนพงษ์ ที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงพลังงานและควบรองนายกฯอีกตำแหน่ง
นายปรีดีที่เป็นรัฐมนตรีคลัง ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะควบรองนายกฯ ปรากฏว่าได้เพียงตำแหน่งเดียว
เหตุผลก็คงกลัวว่าจะเกิดปัญหาในการสั่งการคาบเกี่ยวกับรัฐมนตรีเศรษฐกิจจากพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ อย่างเช่น รัฐมนตรีพาณิชย์และกระทรวงเกษตรฯ
นายกฯได้ประกาศก่อนหน้านี้แล้วว่าจะเป็น “หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ” เอง
เหลืออีกตำแหน่งคือโฆษกรัฐบาล เนื่องจากนางนฤมลได้ลาออกเพื่อก้าวขึ้นเป็นรัฐมนตรีอย่างสมใจไปแล้ว
ว่าไปแล้วนางนฤมลนั้นมีพื้นฐานความรู้ ความสามารถอยู่ในระดับที่จะเป็นรัฐมนตรีได้ แต่การทำหน้าที่โฆษกรัฐบาลนั้นล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงเนื่องจากความไม่สันทัด
บุคคลที่จะเป็นโฆษกรัฐบาลในยุคสมัยที่เทคโนโลยีล้ำสมัยโดยเฉพาะการสื่อสารที่เป็นไปอย่างรวดเร็วในรูปแบบโซเชียลที่พร้อมจะสนับสนุนและโจมตีอย่างถล่มทลาย
กระบอกเสียงรัฐบาลจึงต้องครบเครื่องทุกเรื่องราว
เพราะปัญหาของรัฐบาลที่ผ่านมาถือว่าเป็น “จุดอ่อน” ไม่ทันเกมไม่ทันสถานการณ์.
“สายล่อฟ้า”