“บิ๊กตู่” เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาร่วมลงทุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ยกระดับไทยเป็นศูนย์กลางครอบคลุมทุกมิติ ขอบคุณทุกภาคส่วนผลักดันจนเกิดขึ้นได้

วันที่ 19 มิ.ย. 2563 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีลงนามสัญญาร่วมลงทุนโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออก ระหว่าง สำนักงานคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก และบริษัท อู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนล เอวิเอชั่น จำกัด โดยมี พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วย พล.ร.อ.ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ นายคณิศ แสงสุพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการบริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) และนายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) รวมถึงผู้แทนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นสักขีพยาน 

...

ทั้งนี้ นายกรัฐมนตรี กล่าวแสดงความยินดีว่า โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภา และเมืองการบินภาคตะวันออก เป็นโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานหลักสำคัญของ EEC ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการที่สำคัญระหว่างภาครัฐและเอกชน จากครั้งที่ผ่านมาที่มีการลงนามสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2562 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกที่จะช่วยเสริมความเข้มแข็งเศรษฐกิจ สังคม และยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน ตลอดจนช่วยยกระดับพื้นที่เศรษฐกิจภาคตะวันออกให้เป็นเขตเศรษฐกิจชั้นนำของภูมิภาคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

พร้อมกันนี้ นายกรัฐมนตรี ยังได้เน้นย้ำว่า EEC และโครงการต่างๆ ใน EEC จะต้องสร้างประโยชน์ให้ประเทศและประชาชนอย่างแท้จริง อีกทั้ง ยังเป็นการยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคให้ได้และก่อให้เกิดการลงทุนในด้านต่างๆ ที่ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งในเรื่องของการจ้างงาน การสร้างอาชีพใหม่ๆ เมืองใหม่ และอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ EEC และยังจะทำให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจ เพิ่มศักยภาพการท่องเที่ยว และยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่ประชาชนคนไทยทุกคน

อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ ยังได้กล่าวขอบคุณประชาชนในพื้นที่ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาชน ที่ร่วมกันผลักดันให้โครงการนี้เกิดขึ้นได้ และหวังว่าทุกโครงการใน EEC จะสำเร็จได้โดยเร็ว พร้อมขอให้ทุกคนร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศไทย การคิดใหม่ ทำใหม่ บูรณาการสิ่งใหม่ๆ สามารถให้การทำงานประสบความสำเร็จไปสู่เป้าหมายต่อไป และขอให้ทุกคนคิดแบบ New Normal ชีวิตที่เป็นปกติในรูปแบบใหม่ ยอมรับการเปลี่ยนแปลงยุคใหม่ที่จะต้องมีการปรับตัวอยู่เสมอ สิ่งที่ทำวันนี้จะมีประโยชน์ในอนาคตต่อลูกหลานเราทุกคน โครงการเหล่านี้มีอายุสัมปทาน 50 ปี ซึ่งจะอยู่คู่กับประเทศไทยไปยาวนาน และคาดหวังว่าลูกหลานจะมีงานทำที่ดี และสิ่งสำคัญคือ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ พัฒนาความรู้ พัฒนาจิตใจ ซึ่งทั้งหมดขึ้นอยู่กับบุคลากรทั้งสิ้นที่จะยอมรับการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้อนาคตของประเทศเดินหน้าต่อไป.

(ภาพประกอบจาก thaigov.go.th)