อ๋อยอัดซํ้าเติม ปท. ‘พิชัย’ ไล่โละทีม ศก. ปิยบุตรฉะแรง ส.ว. ยิ่งกว่าสภาผัว-เมีย

สองขั้ว พปชร.เดินเกมยื้อยุดฉุดกระชาก “อุตตม” ดึงเช็งยังไม่เรียกประชุม กก.บห. ยกเงื่อนเวลา 45 วันขึ้นอ้าง “วิเชียร” ตีมึนยังไม่รู้ประชุมเมื่อไหร่ พลิกแง่กฎหมายเบรกเกมอีกขั้ว “สมศักดิ์” ยันศึกในไม่แรงถึงขั้นทำพรรคแตก โต้ลั่นไม่เคยคิดชิงเก้าอี้ผลประโยชน์ “เดียร์” อ้อนผู้ใหญ่จับเข่าคุยกันปัดตั้งก๊วนต่อรองอำนาจ สเปกผู้นำใหม่ต้องเข้มแข็ง-ดูแลสมาชิกได้ พท.แจมปรับ ครม.ให้ยึดประโยชน์ ปชช. “อ๋อย” ซัดศึก พปชร.ซ้ำเติมประเทศ “พิชัย” ชี้ถึงเวลาโละทีม ศก. เย้ย “บิ๊กตู่” อย่าโดนหลอกซ้ำอีก ก้าวไกลจัดเสวนาชำแหละ ส.ว. “ปิยบุตร” ฉะเอาแต่อวย รบ.ออกนอกหน้า “เจิมศักดิ์” ซัดแรงยิ่งกว่าสภาผัว-เมีย องค์กรนานาชาติบี้หาตัว “วันเฉลิม” โพลชี้ “ลุงตู่” จอมลอยตัวเหนือปัญหา

เกมยื้อยุดภายในพรรคพลังประชารัฐยังคงน่าจับตา หลังแกนนำในกลุ่มหนุน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ขึ้นเป็นหัวหน้าคนใหม่พยายามใช้ทุกช่องทางกฎหมายเรียกประชุมเพื่อเลือกทีมบริหารชุดใหม่ ขณะที่กลุ่มนายอุตตม สาวนายน รักษาการหัวหน้าพรรค พยายามทุกวิถีทางเช่นกันที่จะดึงเกมลากยาวออกไป

“อุตตม” ดึงเช็งยังไม่เรียกถก กก.บห.

เมื่อวันที่ 6 มิ.ย. ที่รัฐสภา นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และรักษาการหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์ถึงกำหนดการเรียกประชุมคณะรักษาการกรรมการบริหารพรรค (กก.บห.) ชุดเก่า เพื่อกำหนดวันประชุมใหญ่สามัญเลือกกรรมการบริหารพรรค ชุดใหม่ ว่า การประชุมใหญ่ถือเป็นการประชุมประจำปี แม้จะมีหรือไม่มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการบริหารฯ ยังไงตามกฎหมายพรรคการเมืองต้องจัดประชุมอยู่แล้ว แต่เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงต้องทำภายในกำหนดเวลา 45 วัน ขณะนี้นายทะเบียนพรรคได้เริ่มดำเนินการแล้ว ยืนยันว่าไม่มีแรงกดดันใดๆ ในสัปดาห์หน้ายังไม่มีการเรียกประชุมชุดรักษาการ กก.บห.แน่นอน ส่วนที่สมาชิกพรรคจะรวมตัวกันตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 41 เข้าชื่อขอเปิดประชุมวิสามัญประจำปีนั้น หากเห็นว่าทำได้ตามกฎหมายก็แล้วแต่สมาชิกจะดำเนินการ ยืนยันว่าการจัดประชุมใหญ่จะมีขึ้นตามกฎหมาย ไม่ถือว่าช้าเพราะยังอยู่ในกำหนดเวลา 45 วัน และจะมีวาระการเปลี่ยนแปลง กก.บห.แน่นอน

...

“วิเชียร” ตีมึนยังไม่รู้ประชุมเมื่อไหร่

นายวิเชียร ชวลิต นายทะเบียนพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ตามขั้นตอนเมื่อมี กก.บห.ลาออก พรรคต้องตรวจสอบรายชื่อทั้งหมด ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการประสานเตรียมเชิญประชุม แต่ยังไม่สามารถระบุวันเวลาได้ ส่วนในสัปดาห์หน้าเป็นการประชุมประจำสัปดาห์ของ ส.ส. เพื่อรับทราบมติวิปรัฐบาลตามปกติ อย่างไรก็ตาม สถานะตามกฎหมายของ กก.บห.ขณะนี้ คือการพ้นสภาพทั้งคณะ ดังนั้นหากจะมีการเรียกประชุมจะเป็นการประชุมของชุดรักษาการ กก.บห.ทั้ง 34 คน ไม่ใช่กรรมการบริหารพรรค 16 คนที่ไม่ได้ยื่นใบลาออก

พลิกแง่กฎหมายเบรกเกมอีกขั้ว

นายวิเชียรกล่าวอีกว่า ส่วนกรณีที่จะมีสมาชิกบางส่วนเข้าชื่อตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยพรรคการเมืองมาตรา 41 ขอให้จัดประชุมใหญ่สามัญโดยไม่ต้องรอหัวหน้าพรรคกำหนดนั้น กำหนดเดิมการประชุมใหญ่สามัญประจำปีจะจัดขึ้นเมื่อเดือน เม.ย. ที่ผ่านมา แต่ด้วยสถานการณ์ไวรัสโควิดจึงต้องเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด ไม่ใช่ว่าจะไม่จัดประชุม แต่ไม่มีเหตุอันเป็นเงื่อนไขให้สมาชิกพรรคใช้ช่องทางดังกล่าว ในการยื่นขอจัดประชุมใหญ่ได้เอง ขอให้สมาชิกเข้าใจ ว่าทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอน และกรอบเวลากฎหมาย ไม่มีการดึงเกมหรือทำให้เกิดความล่าช้า เนื่องจากการเตรียมการจัดประชุมขนาดใหญ่ ที่มีคนจำนวนมากต้องจัดหาสถานที่และนัดวันเวลาที่เหมาะสม ต้องใช้เวลาพิจารณา

“สมศักดิ์” ยันศึกใน พปชร.ไม่แรง

นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม กก.บห.พปชร. ให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ “คนในข่าว” ทางสถานีเอฟเอ็ม 100.5 MCOT News Network ถึงความขัดแย้งภายในพรรคพลังประชารัฐว่า หากจะถามว่าจบหรือไม่จบ พูดไปเหมือนโกหก แต่หากถามว่ามีอะไรรุนแรงหรือไม่ ต้องตอบว่าไม่มี เพราะพรรคการเมืองจะหยุดทำงานไม่ได้ หากถามผู้คนภายในพรรคทะเลาะกันหรือไม่ ต้องตอบว่าไม่มี แต่อาจเป็นความคิดเห็นที่ออกไปแล้วมีสื่อใหญ่บางแขนงนำไปขยายความ หรือแสดงความเห็นว่าคนใดเหมาะหรือไม่เหมาะกับตำแหน่งใด แล้วนำไปแนะนำกับผู้บริหารสูงสุดทั้งทางตรงและทางอ้อม มีลักษณะของความชอบและความไม่ชอบส่วนตัวที่ปะปนไปด้วย ต้องบอกว่าสื่อกลุ่มใหญ่สามารถเหนี่ยวนำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่สื่อนั้นชื่นชอบได้ เรื่องภายในพรรคพลังประชารัฐไม่รุนแรงถึงขั้นพรรคแตกแน่นอน ตนยืนยัน และเรื่องของคำว่าพรรคแตก เป็นความรู้สึกของสื่อที่มองว่าถ้าเป็นอย่างนี้จะแตกนะ บางทีเขาอาจจะรักเขาหวงบางส่วนที่เขารักของเขาอยู่ ทำให้เหมือนกับว่ารุนแรง แต่หากเป็นไปตามธรรมชาติคงไม่ใช่ ต้องยอมรับว่าถ้าสื่อที่ทำเป็นกลุ่มเป็นก้อนจะสามารถเบี่ยงเบนทั้งความจริงและไม่จริงได้ เป็นความสามารถอย่างหนึ่ง

โต้ลั่นไม่เคยคิดชิงผลประโยชน์

นายสมศักดิ์กล่าวอีกว่า การที่ กก.บห.ลาออก 18 คน ไม่ใช่เพราะคนในพรรคไม่เอา กก.บห.ชุดนี้ เพียงแต่ว่า กก.บห.ชุดนี้เปิดทางให้สมาชิกเลือกผู้บริหารใหม่ ถือเป็นความใจกว้าง อาจเลือกคนเดิมกลับมาเป็น กก.บห.อีกก็ได้ แต่ถ้ามองแบบไม่รักชุดเก่าเกินไปจะรู้ว่าคือการเปิดใจกว้าง ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ประธานกรรมการยุทธ์ศาสตร์พรรค มีสมาชิกส่วนหนึ่งสนับสนุนให้เป็นหัวหน้าพรรค แต่อยู่ที่ พล.อ.ประวิตรจะรับหรือไม่ เมื่อถามว่าอยากเปลี่ยนกระทรวงหรือไม่ นายสมศักดิ์ตอบว่า ไม่เคยคิดอยากเปลี่ยนกระทรวง เป็นนักการเมืองรู้ว่าวันนี้ควรทำอะไร เราคิดเป็นอื่นไม่ได้ ทำอะไรให้ประชาชนส่วนใหญ่เป็นสุข ถ้าไปแย่งเพื่อผลประโยชน์เพื่อคนใดคนหนึ่ง คือคิดผิดอยู่ตรงนี้ทำงานได้ ถ้าอยากเห็นตนในตำแหน่งอื่นขอเวลาอีก 6 เดือน จะทำอะไรให้เห็นเป็นรูปธรรมและมั่นใจว่าผู้ใหญ่ของบ้านเมืองเห็นอยู่ ส่วนการปรับ ครม. เป็นอำนาจนายกฯ

“เดียร์” อ้อนผู้ใหญ่จับเข่าคุยกัน

ที่ซอยโรงไม้บางโพ เขตบางซื่อ กทม. น.ส.วทันยา วงษ์โอภาสี ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ นำ น.ส.กรณิศ งามสุคนธ์รัตนา น.ส.ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ น.ส.ภาดาท์ วรกานนท์ น.ส.ฐิติภัสร์ โชติเดชาชัยนันท์ และนายศิริพงษ์ รัสมี ส.ส.กทม. ลงพื้นที่รับฟังปัญหาจากผู้ประกอบการค้าไม้ ไม้แปรรูป และเฟอร์นิเจอร์ ต่อมา น.ส.วทันยาให้สัมภาษณ์ถึงการรวมกลุ่ม ส.ส.ว่า พวกเราทั้ง 6 คนถือเป็น ส.ส.รุ่นใหม่ เข้ามาทำงานสภาครั้งแรก ได้เห็นถึงปัญหาประชาชนที่ทุกข์ร้อน เมื่อมาเห็นปัญหาของพรรคในขณะนี้รู้สึกไม่สบายใจ พวกเราจึงอยากให้ผู้ใหญ่พูดคุยทำความเข้าใจ ให้เกิดความปรองดอง วันนี้เรื่องสำคัญที่สุดคือการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนประชาชน พวกตนยืนยันว่าการรวมกลุ่มในครั้งนี้ไม่ใช่การรวมตัวต่อรองทางการเมือง พวกเรามีอายุไล่เลี่ยกัน อยากเห็นการเมืองพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นเหมือนๆกัน ไม่ใช่การเมืองน้ำเน่าแบบทุกวันนี้ จึงรวมกลุ่มทำงานร่วมกัน วันนี้อยากขับเคลื่อนพรรคให้ก้าวไปข้างหน้า เพราะพวกตนเคารพผู้ใหญ่และ ส.ส.ทุกคนในพรรค แต่เรามีจุดยืนและอยากสะท้อนมุมมองของประชาชนให้ผู้ใหญ่ในพรรคได้รับฟัง

ผู้นำใหม่ต้องเข้มแข็ง–ดูแลสมาชิก

เมื่อถามว่า การปรับ ครม.จะมีชื่อไปนั่งรัฐมนตรีหรือไม่ น.ส.วทันยาตอบว่า การปรับ ครม.เป็นอำนาจนายกรัฐมนตรี วันนี้อยากโฟกัสการทำหน้าที่ ส.ส. เมื่อถามถึงคุณสมบัติคนที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ น.ส.วทันยาตอบว่า ต้องเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง ให้ความเป็นธรรมกับสมาชิก และมีวิสัยทัศน์ขับเคลื่อนพรรค เพื่อให้พรรคเป็นหนึ่งเดียว และสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ส่วนที่มีชื่อ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ จะมาเป็นนั้น มองว่าท่านมีความเมตตา มีอาวุโส ส.ส.ทุกคนให้ความเคารพอยู่แล้ว ทั้งหมดขึ้นอยู่กับสมาชิก เมื่อถามว่าจะมีการตั้งพรรคใหม่หรือไม่ น.ส.วทันยาตอบว่า ยังไม่มีความคิดแบบนั้น เชื่อมั่นว่าพรรคยังมีความเข้มแข็งเดินหน้าอยู่ แต่ระบอบประชาธิปไตยอาจมีความแตกต่างทางความคิดได้ แต่ยังเชื่อว่าเมื่อทุกคนเข้าใจกัน เราจะยังเดินหน้าได้ ทำงานเพื่อประเทศและประชาชนต่อไป เพราะทุกคนล้วนเป็นคนมีความสามารถ

“ธนกร” ขอปิดปากลุยงานให้ “อุตตม”

นายธนกร วังบุญคงชนะ เลขานุการ รมว.คลัง และโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ขอไม่พูดถึงสถานการณ์ความขัดแย้งภายในพรรค พปชร. ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จะมุ่งเน้นทำงานให้ประชาชนเพียงอย่างเดียว สิ่งที่ต้องทำต่อคือการฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ในส่วนของกระทรวงการคลังหลังจากจ่ายเงินเยียวยา 5,000 บาทจบไป มีการทำโครงการก้าวต่อไปเราไม่ทิ้งกันต่อ โดยสัปดาห์หน้านายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง จะประชุมติดตามและลงพื้นที่รับฟังปัญหาจากประชาชน พร้อมทั้งดำเนินการช่วยเหลือทันที นอกจากนั้นกระทรวงการคลังเตรียมโครงการสำหรับงบประมาณฟื้นฟู 400,000 ล้านบาท โดยจะเน้นผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ฟื้นเศรษฐกิจฐานราก

“สนธิรัตน์” ชิ่งปมร้อนการเมือง

ที่ศูนย์การเรียนรู้ชุมนุมสหกรณ์ชาวสวนปาล์ม ต.คลองยา อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน รักษาการเลขาธิการพรรค พปชร. ลงพื้นที่พบปะกลุ่มตัวแทนเกษตรกรชาวสวนปาล์มในพื้นที่ เพื่อพูดคุยทำความเข้าใจเรื่อง Blockchain กับทิศทางใหม่ของชาวสวนปาล์ม มีตัวแทนกลุ่มเกษตรกร กลุ่มผู้ผลิต โรงงานสกัดน้ำมันปาล์ม ร่วมพูดคุยเพื่อผลักดันนโยบายน้ำมันไบโอดีเซล บี 10 เพื่อนำผลผลิตปาล์มน้ำมันเอาไปใช้เพิ่มขึ้น นายสนธิรัตน์กล่าวว่า คาดว่าจะสามารถใช้ปริมาณไบโอดีเซล 2 ล้านตันต่อปีได้ตามแผนที่วางไว้ การมาพูดคุยกับเกษตรกรในครั้งนี้ เพื่อต้องการลงลึกไปถึงเรื่องราคาปาล์ม ให้เกษตรกรได้รับราคาที่เป็นสัดส่วนโดยตรงกับราคา CPO ทั้งนี้นายสนธิรัตน์พยายามหลีกเลี่ยงการให้สัมภาษณ์ประเด็นการเมือง กล่าวเพียงว่า เรื่องการเมืองเป็นการพูดกันคนละทีสองที ไม่อยากให้สนใจเรื่องการเมืองเยอะ อยากให้สนใจเรื่องทำงานแก้ปัญหาปากท้องให้พี่น้องประชาชนดีกว่า การเมืองหากพูดกันคนละครั้งมันก็ ไม่จบ เชื่อว่าเป็นเรื่องที่พี่น้องประชาชนคงไม่ค่อยอยากจะฟังเท่าไหร่

ปรับ ครม.ให้ยึดประโยชน์ ปชช.

ด้าน น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงปัญหาความขัดแย้งภายใน พรรคพลังประชารัฐ ที่อาจกลายเป็นปัญหาของรัฐบาลถึงขั้นต้องปรับ ครม.ว่า เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องปกติทางการเมืองที่รัฐบาลและพรรคร่วมรัฐบาล เมื่อบริหารประเทศมาระยะหนึ่งย่อมต้องมีการประเมินผลและปรับเปลี่ยนการทำงานที่ขาดประสิทธิภาพ หรือตำแหน่งงานที่ทำงานประสานกันไม่ราบรื่น ก่อให้เกิดแต่ความขัดแย้งออกไป เพื่อให้รัฐบาลเดินหน้าต่อไปได้ การปรับปรุงกรรมการบริหารพรรคที่กำลังจะเกิดขึ้นถือเป็นตัวชี้วัดสำคัญในการปรับคณะรัฐมนตรีที่กำลังจะมาถึงอย่างแน่นอน เชื่อว่าการปรับเปลี่ยนสามารถทำได้และหวังว่าจะยึดเอาผลประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก แต่ถ้าเป็นการปรับเปลี่ยนโดยใช้กำลัง ส.ส.แย่งเก้าอี้รัฐมนตรีให้เป็นของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยไม่ยึดประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง จะเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย

“อ๋อย” ซัดศึก พปชร.ซ้ำเติมประเทศ

นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การแก่งแย่งอำนาจใน พปชร.ขณะที่ประเทศกำลังตกอยู่ในวิกฤติร้ายแรง ย่อมทำร้ายความรู้สึกประชาชนเป็นธรรมดา แต่ที่เลวร้ายกว่านั้นเป็นได้สูงที่จะกระทบต่อการเมืองและเศรษฐกิจ หากมีเปลี่ยน คณะกรรมการบริหารตามที่เป็นข่าวจริง เป็นไปได้สูงที่จะมีการปรับ ครม.ในตำแหน่งสำคัญ ซึ่งจะทำให้รัฐมนตรีจากพลังประชารัฐหลายคนที่เป็นสายวิชาการ และนักบริหาร จะถูกแทนที่โดยนักการเมืองที่ไม่มีความรู้ความสามารถแก้ปัญหาประเทศ เมื่อการเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากการเปลี่ยนดุลอำนาจภายในพลังประชา-รัฐ นายกฯจะหาคนนอกมาเป็นรัฐมนตรีในโควตานายกฯ ก็ไม่ได้ เพราะไม่มีมาแต่ต้น อีกอย่างไม่ต้องสงสัยเลยยิ่งมาเปลี่ยนแปลงช่วงที่จะมีการใช้งบประมาณจำนวนมหาศาล ยิ่งมีแต่คนห่วงว่าจะเป็นการแย่งชิงกอบโกยผลประโยชน์บนความเดือดร้อนประชาชน เป็นห่วงทุจริตมากขึ้น

“พิชัย” ชี้ถึงเวลาโละทีม ครม.ศก.

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าว ว่า ช่วงเวลานี้ถือว่าเหมาะสมที่จะปรับ ครม.ความจริง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ควรเปลี่ยนทีม ครม.เศรษฐกิจนานแล้ว เพราะบริหารล้มเหลวมาตลอด เช่น นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ พิสูจน์แล้วว่าไม่สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจได้จริง แผนงานที่ออกมาไม่ได้เรียกความเชื่อมั่นจากนักลงทุนได้ นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ก็ไม่ได้สร้างความมั่นใจ คิดแต่จะแจกเงินเที่ยว แจกเงินช็อปปิ้งกันอีกแล้ว ส่วนนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน ทำนโยบายพลังงานยังสับสน การที่นายกฯทู่ซี้มาตลอดไม่ยอม เปลี่ยน เมื่อมีปัจจัยภายในพรรคเกิดขึ้นก็ควรปรับ เปลี่ยน เอาคนมีความรู้ความสามารถจริง ไม่เพียงแต่เก่งแค่สร้างภาพและการตลาดเท่านั้น

เย้ย “บิ๊กตู่” อย่าโดนหลอกซ้ำอีก

นายพิชัยกล่าวต่อว่า อีกเรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์ควรปรับเปลี่ยนหลังได้มือเศรษฐกิจคนใหม่คือ อย่าถูกหลอกให้เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจอีก เพราะหัวหน้าทีมต้องแยกแยะได้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี และตัดสินใจได้ทันที พล.อ.ประยุทธ์อาจไม่มีความสามารถทำได้ เพราะยอมรับเองว่าไม่เก่ง นอกจากนี้ ควรปรับเปลี่ยนกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ด้วย เพราะกระทรวงนี้มีความสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงประเทศในอนาคต แต่กลับไม่มีผลงานอะไร ตั้งหน่วย– งานปราบเฟกนิวส์ แต่กลับถูกฟ้องเรื่องปล่อยเฟกนิวส์ซะเอง จนถึงการจะทำไทยฟลิกซ์ เพื่อแข่งกับเน็ตฟลิกซ์ โดยไม่ได้ดูศักยภาพของตัวเอง เป็นต้น ทั้งหมดนี้น่าจะมาจากความพยายามสร้างผลงาน เพราะกลัวถูกปรับเปลี่ยน แต่ไม่มีความรู้ความสามารถเพียงพอมากกว่า

โยนกฤษฎีกาแจงแปรญัตติโอนงบฯ

เมื่อเวลา 11.00 น. ที่รัฐสภา นายอรรถกร ศิริลัทธยากร โฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.โอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 กล่าวว่า ที่ประชุมยังคงถกเถียงหลักการและเหตุผลเรื่องการแปรญัตติ การพิจารณาปรับลด ปรับเพิ่มหรือตัดทอนงบประมาณ ว่าจะขัดต่อบทบัญญัติรัฐธรรมนูญหรือไม่ นายวราเทพ รัตนากร รองประธาน กมธ. เสนอให้ กมธ.เชิญคณะกรรมการกฤษฎีกาเข้ามาชี้แจงให้เกิดความกระจ่างต่อไป ซึ่งกฤษฎีกาจะให้คำตอบสุดท้ายว่าสามารถแปรญัตติได้หรือไม่ อย่างไร

ด้านนายเท่าพิภพ ลิ้มจิตรกร ส.ส.กทม. พรรคก้าวไกล โฆษก กมธ.วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.โอน งบฯ กล่าวว่า ส.ส.ฝ่ายค้านหลายคนอยากแปรญัตติ แต่ยังไม่สามารถทำได้ ต้องรอดูที่ประชุมหารือกันว่าจะดำเนินการอย่างไรได้บ้าง มี ส.ส.ส่วนหนึ่งเห็นว่างบประมาณที่โอนหรือตัดเข้ามาที่งบกลาง บางอย่างไม่ควรตัด และอยากให้ตัดกลับคืนไปที่หน่วยงานเดิม แต่มีปัญหาว่าหากตัดกลับคืนไปจะเป็นการเพิ่มงบกลาง อาจขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่ต้องรอให้กฤษฎีกาให้คำตอบ ฝ่ายค้านเชื่อว่า กมธ.มีหน้าที่ตรวจสอบ และประชาชนควรได้ทราบว่างบที่มาจากภาษีพวกเขาจะใช้ทำอะไรต่อไป หรือใช้อะไรไปแล้ว

ก้าวไกลจัดเสวนาชำแหละ ส.ว.

ที่อาคารไทยซัมมิท นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ให้สัมภาษณ์ก่อนร่วมเสวนา “เวทีแสวงหาฉันทามติเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประเทศไทย : New Consensus” ว่า มองว่ารัฐธรรมนูญที่ดีต้องเกิดจากฉันทามติของคนไทยทั้งประเทศ ที่ผ่านมามีความขัดแย้งทางการเมืองต่อเนื่องหลายปี และเรายังได้รัฐธรรมนูญที่ไม่ได้มาจากฉันทามติร่วมกันของคนทั้งสังคม จึงอยากฝันเห็นรัฐธรรมนูญใหม่ที่มาจากฉันทามติของคนไทยทั้งประเทศ และประเมินการทำงานของ ส.ว. เพื่อพิจารณาว่าตกลงแล้ว ส.ว. และสถาบันการเมืองสำคัญต่างๆ จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร จะมีต่อไปหรือไม่ หรือยกเลิก หรือหากให้มีต่อไปจะมีที่มาอย่างไร มีขอบเขตอำนาจหน้าที่อย่างไร อย่างที่เราทราบว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกออกแบบมาให้แก้ไขได้ยากมาก ในทางปฏิบัติอาจจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ในท้ายที่สุดจะแก้ไขสำเร็จหรือไม่ เชื่อว่าต้องอาศัยพลังทางสังคมจากทุกกลุ่มทุกฝ่ายร่วมกันกดดัน โดยเฉพาะการเข้าไปกดดันที่ ส.ว.

“ปิยบุตร” ฉะอวย รบ.ออกนอกหน้า

เมื่อถามว่าประเมินการทำงาน 1 ปีของ ส.ว. อย่างไรบ้าง นายปิยบุตรตอบว่า พี่น้องประชาชนได้เห็นกับตาตัวเองแล้วว่า ส.ว. 250 คน ถูกสร้างมาเพื่ออะไร วันนี้ ส.ว. 250 คนทำให้เห็นชัดแล้วว่าเป็นยิ่งกว่าสภาผัวสภาเมีย คือสภาเครือข่ายอำนาจของคณะรัฐประหาร ตลอด 1 ปีที่ผ่านมาไม่มีการตรวจสอบการใช้อำนาจของรัฐบาลเลย หนำซ้ำบางคนอวยรัฐบาลจนออกนอกหน้า เมื่อถามถึงปรากฏการณ์ความขัดแย้งและการแก่งแย่งตำแหน่งหัวหน้าพรรค และการวิ่งเต้นเพื่อให้เกิดการปรับ ครม. นายปิยบุตรตอบว่า ความจริง ตนรณรงค์เรื่องนี้ตั้งแต่ออกเสียงประชามติแล้ว เรามองเห็นว่าหากปล่อยรัฐธรรมนูญนี้ออกไปจะดึง บ้านเมืองและการเมืองไทยถอยหลังกลับไปเหมือนปี 2520 ที่เรียกว่าสมัยประชาธิปไตยครึ่งใบ การเลือกตั้งเป็นเหมือนพิธีกรรม รัฐธรรมนูญฉบับนี้จึงเป็นเหมือนระเบิดเวลาที่รอวันระเบิด อยากเชิญทุกสถาบันการเมือง และนักการเมืองทั้งหลายมาช่วยกันถอดสลักอย่าให้เกิดเหตุการณ์พฤษภา 35 จนมีประชาชนบาดเจ็บล้มตายกันจำนวนมาก

“เจิมศักดิ์” ซัดยิ่งกว่าสภาผัว-เมีย

ต่อมาเวลา 13.30 น. เริ่มการเสวนา “เวทีแสวงหาฉันทามติเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของประเทศไทย : New Consensus” จินตนาการใหม่ ข้อตกลงใหม่ รัฐธรรมนูญใหม่ ประเทศไทยแบบไหนที่เราอยากอยู่ร่วมกัน เวทีสานเสวนาที่ร่วมกันตั้งคำถามอย่างถึงรากถึงเหตุผลในการดำรงอยู่ของวุฒิสภา : ส.ว. ไทย อย่างไรต่อดี โดยนายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง อดีต ส.ว. กล่าวเสวนาว่า ส.ว.คือฝ่ายควบคุมและตรวจสอบฝ่ายบริหาร ทำหน้าที่ออกกฎหมายให้รัฐบาลว่าทำอะไรได้และทำอะไรไม่ได้ เท่านั้นไม่พอต้องคอยตรวจสอบว่าที่รัฐบาลทำไปนั้นถูกหรือไม่ ถามว่าจำเป็นต้องมีวุฒิสภาหรือไม่ ตอบว่าไม่ค่อยยึดว่าจำเป็นหรือไม่ ถ้าไม่มีไม่ว่าอะไร แต่ถ้า มีต้องออกแบบให้ได้ประโยชน์จริง ไม่เช่นนั้นไม่มีดีกว่า และหลักการที่มาของ ส.ว.ต้องสัมพันธ์กับประชาชน หากสัมพันธ์มากให้มีอำนาจได้มากขึ้น แต่ถ้าสัมพันธ์กับประชาชนน้อยต้องมีอำนาจน้อยลง แต่ ส.ว.ชุดปัจจุบันไม่ได้ยึดโยงกับใครทั้งสิ้นยึดโยงกับ คสช.อย่างเดียว จึงขัดกับหลักการและกลับหัวกลับหางจากแนวทางที่มากับอำนาจอย่างสิ้นเชิง ชุดนี้มาจาก คสช. แต่มีลูกเล่นในกฎหมายในบทเฉพาะกาล หากไม่ลงรายละเอียดพูดแบบหยาบๆ คือ คสช.เลือกทั้งหมด อันนี้ไม่ยึดโยงประชาชนเลยแต่กลับให้อำนาจมาก มากถึงกับสามารถเลือกนายกฯได้ กลับหัวกลับหางกันหมดยิ่งกว่าสภาผัวเมีย

“นิพนธ์” แจกถุงยังชีพชาวเกาะยอ

วันเดียวกัน นายนิพนธ์ บุญญามณี รมช.มหาดไทย พร้อมนายสรรเพชญ บุญญามณี ผู้ช่วยดำเนินงานประธานรัฐสภา ลงพื้นที่ ต.เกาะยอ อ.เมืองสงขลา มอบถุงยังชีพให้แก่พี่น้องประชาชน และอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) 9 หมู่บ้าน ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ นายนิพนธ์กล่าวว่า ต้องขอบคุณพี่น้อง อสม. ผู้บริหารองค์กรปกครองท้องถิ่นทุกคน ที่ปฏิบัติงานด้วยความวิริยะอุสาหะ จนทำให้ไทยได้รับการชื่นชมจากทั่วโลก เป็นความร่วมมือของทุกฝ่ายอย่างจริงจัง ทั้งภาครัฐและภาคประชาชน ขอให้ทุกคนมีกำลังใจสู้ชีวิตต่อไป คาดว่าอีกประมาณ 1 เดือนสถานการณ์ต่างๆคงกลับเข้าสู่ภาวะปกติ

“เทพไท” ขอเพิ่มเยียวยาพระ-เณร

นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายเทวัญ ลิปตพัลลภ รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมาตรการเยียวยาพระสงฆ์รูปละ 60 บาทต่อวัน ว่า เห็นว่า ยังน้อยเกินไปเมื่อเปรียบเทียบกับการเยียวยาประชาชนทั่วไป เดือนละ 5,000 บาท ตกเฉลี่ยวันละ 167 บาท แต่พระภิกษุสงฆ์กลับได้รับน้อยกว่า 3 เท่า หรือเดือนละ 1,800 บาท อาจไม่เพียงพอกับค่าภัตตาหารในการฉันเช้า ฉันเพล ไม่พอแม้แต่จะซื้อก๋วยเตี๋ยว หรือข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว และน้ำดื่มได้ สถานการณ์ขณะนี้พระภิกษุสงฆ์ สามเณร ได้รับผลกระทบเช่นกัน จึงขอเสนอให้รัฐบาลถวายเงินเยียวยาเป็นรูปละ 100 บาทต่อวัน หรือประมาณเดือนละ 3,000 บาท มีพระภิกษุสงฆ์ สามเณร จำนวน 250,000 รูปเท่านั้น ใช้เงินงบประมาณไม่มาก เมื่อเทียบกับวงเงินเยียวยาแก่ฆราวาส

รำลึก 1 ปี “อภิสิทธิ์” พ้นวงการเมือง

นายเชาว์ มีขวด อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กระบุว่า ครบ 1 ปี ที่ตนเคยเขียนถึงอดีตนายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ในวันที่ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่ง ส.ส. เชื่อว่าหลายคนมีความรู้สึกถดถอยต่อสภาพการเมืองปัจจุบัน ที่ธรรมาภิบาลกลายเป็นแค่ลมปาก อำนาจนิยม และผลประโยชน์กลับมาเป็นใหญ่ พรรคแกนนำรัฐบาลเล่นเกมอำนาจ ท่ามกลางความทุกข์ยากของประชาชน ขณะที่คนบางกลุ่มพยายามตีความกฎหมายเพื่อผลประโยชน์ตัวเอง ความฟอนเฟะของการเมืองในปัจจุบัน ทำให้หลายคนโหยหานักการเมืองที่ชื่ออภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และเส้นทางการเมืองที่ท่านพยายามสร้างให้เป็นทางออกของคนไทย และร่วมกันถางทางใหม่ให้
การเมืองไทยเดินหน้าไม่ใช่ถอยหลังลงคลอง

องค์กรนานาชาติบี้หาตัว “วันเฉลิม”

อีกเรื่อง สำนักข่าวบีบีซีประจำประเทศไทย รายงานว่า สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รับทราบกรณีการหายตัวไปของนายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ลี้ภัยทางการเมืองชาวไทยแล้ว และกำลังสอบสวนเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หลังบีบีซีไทยได้สอบถามกรณีนี้ไปยังสำนักงานข้าหลวงฯ และได้รับ คำตอบกลับมา

ขณะที่ฮิวแมนไรท์วอทช์ ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้นานาชาติกดดันรัฐบาลกัมพูชา ให้สอบสวนและชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วย หลังนายวันเฉลิมถูกอุ้มหายตัวไปจากหน้าคอนโด เดวิด กริฟฟิท ที่พักอาศัย ในกรุงพนมเปญ เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. โดยกลุ่มชายฉกรรจ์พร้อมอาวุธ

ทางการกัมพูชาอ้างไม่รู้ไม่เห็น

ขณะเดียวกันกลุ่มพลังใหม่เอเชียอาคเนย์ (FORSEA) ออกแถลงการณ์ประณามการอุ้มฆ่านาย วันเฉลิม และขอให้องค์กรระหว่างประเทศทั่วโลก ช่วยกันหาความจริงและนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ ซึ่งไม่ใช่กรณีแรกของผู้ลี้ภัยทางการเมืองไทยไปอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน แล้วถูกอุ้มหาย บางรายเสียชีวิต และการอุ้มครั้งนี้มีกล้องวงจรปิดบันทึกภาพไว้ได้ ทาง รปภ.ของคอนโดและคนที่เห็นพยายามช่วยแต่ไม่สำเร็จ จนถึงขณะนี้กองทัพไทยปฏิเสธว่าไม่มีส่วนร่วม เช่นเดียวกับรัฐบาลกัมพูชายังคงไม่ให้คำตอบเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งนายเขียว โสเพียก โฆษกประจำกระทรวงมหาดไทยกัมพูชา เผยว่า ไม่ได้รับข้อมูลเรื่องการลักพาตัว ส่วนนายชาย กิม เคือน โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติกัมพูชา เผยว่า ไม่ได้รับรายงานเรื่องการจับกุมตัวแต่อย่างใด

“สมยศ” ชี้เป้าปมการเมืองล้วนๆ

นายสมยศ พฤกษาเกษมสุข นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน อดีตผู้ต้องหา ม.112 หนึ่งในบุคคลที่รู้จักใกล้ชิดกับนายวันเฉลิมและครอบครัว เปิดเผยว่า จากหลักฐานที่ปรากฏโดยภาพวงจรปิด มั่นใจว่าตำรวจกัมพูชาทราบดีว่าใคร ส่วนมูลเหตุอื่นที่จะนำไปสู่การถูกอุ้มหายนอกจากเรื่องการเมืองยืนยันว่าไม่มี เพราะหลังจากที่เจ้าตัวหลบหนีหมายเรียก คสช.ให้เข้าไปปรับทัศนคติ ก็ไปประกอบธุรกิจด้านการเกษตร และมีทีท่าจะไปได้ดีจึงไม่ได้พยายามที่ลี้ภัยต่อไปยังประเทศที่สาม แต่ยังวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล คสช.ต่อเนื่อง ล่าสุดคือการออกมาวิจารณ์ตั้งข้อสังเกตเรื่องการใช้งบโควิด-19 ของกองทัพบกในวงเงินที่สูงกว่า 20 ล้านบาท รวมถึงความไม่ชอบมา พากลต่างๆในรัฐบาลอีกหลายอย่าง เรียกได้ว่าต้ามีข้อมูลเชิงลึกจากทั้งทหาร ตำรวจ และแวดวงการเมือง แบบที่ไม่มีใครมี ปัจจุบันกลุ่มคนไทยที่ลี้ภัยการเมืองไปพำนักในยุโรป มีการเคลื่อนไหวดุเดือด แต่การไปทำอะไรคนเหล่านี้เป็นเรื่องยาก เพราะมีสถานะผู้ลี้ภัยคุ้มครองอยู่ จึงมองว่าแม้ “ต้า” จะไม่ใช่เป้าสำคัญ แต่อยู่ใกล้ที่สุดจึงต้องโดน

โพลชี้นายกฯลอยตัวเหนือปัญหา

ด้านสำนักวิจัยซูเปอร์โพล เปิดผลสำรวจความเห็นประชาชนจำนวน 1,871 ตัวอย่าง เรื่องปรับคณะรัฐมนตรีเพื่อใคร พบว่าผลประเมินคนดีในคณะรัฐมนตรีชุดปัจจุบัน ร้อยละ 48.5 บอกว่ายังมีคนดีอยู่บ้าง ขณะที่ร้อยละ 37.3 ระบุไม่มีเลย ขณะที่ความเห็นต่อรัฐบาลในข่าวการปรับ ครม. ปรับเพื่อใคร พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 63.3 มองว่ารัฐบาลจะปรับ ครม. เอานักการเมืองเข้ามาหาผลประโยชน์เงินกู้ และถอนทุนคืนใช้เลือกตั้งต่อไป มีร้อยละ 34.1 มองว่าจะปรับเอาคนดีเข้ามาทำงานแก้ความเดือดร้อนและปกป้องเงินกู้ผลประโยชน์ประชาชน ทั้งนี้ร้อยละ 85.1 ระบุข่าวการปรับ ครม. จะก่อให้เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในหมู่ประชาชนต่อความไม่ชอบธรรมของรัฐบาล แสวงหาผลประโยชน์ จากเงินกู้เข้ากระเป๋านักการเมือง นอกจากนี้ ส่วนใหญ่ ร้อยละ 66.8 ยังมองว่านายกฯลอยตัวเหนือปัญหา ทำตัวเป็นพระเอกตลอดกาล และยังพบแนวโน้มจุดยืนการเมืองประชาชนฐานที่สนับสนุนรัฐบาล หลัง กก.บห.พปชร.ลาออก ลดฮวบดิ่งลงอีกจากร้อยละ 39.1 ในช่วงอภิปราย พ.ร.ก.กู้เงิน เหลือเพียงร้อยละ 20.4

ทบ.ปรับระเบียบรับ นร.นายสิบ

พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผบ.ทบ. กล่าวระหว่างเป็นประธานประชุมผู้บังคับหน่วยขึ้นตรงกองทัพบกประจำเดือน มิ.ย. เน้นย้ำนโยบายการให้โอกาสและพัฒนาทหารกองประจำการ โดยเฉพาะผู้ที่สมัครใจอยู่ต่อหลังปลดประจำการ ส่งเสริมให้เข้าศึกษาเพื่อต่อยอดสู่การเป็นนักเรียนนายสิบ เป็นความตั้งใจของ ผบ.ทบ.ที่จะสร้างเส้นทางการรับราชการให้กับทหารกองประจำการ ให้ทุกหน่วยดูแลเอาใจใส่พัฒนาสมรรถภาพร่างกายทหาร รวมถึงการมีทัศนคติที่ดี พร้อมกันนี้ กองทัพบกได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ และระเบียบหลายด้าน นอกจากนี้ยังปรับปรุงระเบียบเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้ที่มีรอยสักในการสอบคัดเลือกเข้าเป็นนักเรียนนายสิบทหารบก และนายทหารประทวนของกอง ทัพบก ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทหารกองประจำการที่มีรอยสักอยู่แล้วในปัจจุบัน สามารถเข้าสู่กระบวนการสอบคัดเลือกดังกล่าวได้มากยิ่งขึ้น