งบประมาณปี 63 ไม่โมฆะ แต่จะต้องไปลงมติกันใหม่ในวาระ 2-3 แล้วให้ผ่าน ส.ว. อีกครั้ง ด้วย ส.ส.เสียบบัตรแทนกันไม่รอดแน่ เพราะถือว่ามีความผิดร้ายแรงแต่จะต้องยำรวมทั้งหมด

ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้โล่งอกโล่งใจได้ระดับหนึ่ง เมื่อศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5–4 เสียงข้างมากวินิจฉัยว่าร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 63 ที่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนฯและวุฒิสภาไปแล้ว

“ไม่โมฆะ”...

ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น เนื่องจากการลงมติมีปัญหา เพราะมี ส.ส.เสียบบัตรแทนกันถือว่าไม่ได้ปฏิบัติตามข้อบังคับ ทำให้เกิดความเสียหาย

แต่เนื่องจากกฎหมายงบประมาณฉบับนี้ได้มีการพิจารณาในเนื้อหาสาระเรียบร้อยไปแล้ว เพียงแต่มีปัญหาในการลงมติเท่านั้น

จึงให้นำร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ไปลงมติกันใหม่ในวาระที่ 2–3 จากนั้นก็ให้วุฒิสภาพิจารณาลงมติอีกครั้ง

ขั้นตอนนี้ก็จะทำให้ พ.ร.บ.งบประมาณเสร็จสมบูรณ์

แต่บรรดา ส.ส.ที่เสียบบัตรแทนกันนั้นก็จะต้องมีการดำเนินการลงโทษ โดยเฉพาะการที่ ส.ส.ไม่อยู่ในห้องประชุม

แต่ปรากฏว่ามีการเสียบบัตรแทนกัน

เป็นการแยกส่วนกันระหว่างตัว พ.ร.บ.กับตัวบุคคล คืองบประมาณไม่โมฆะ แต่ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามกระบวนการ

บุคคลที่ทำให้เกิดปัญหาก็ต้องเป็นหน้าที่ของสภาฯที่จะต้องมีการดำเนินการลงโทษ แม้ในคำร้องจะระบุชื่อเพียง 3 ส.ส.

แต่จะต้องสอบสวนทวนความให้ครบถ้วนว่ายังมี ส.ส.คนไหนอีกที่มีพฤติกรรมเสียบบัตรแทนกันด้วย

การลงมติในวาระ 2–3 ใหม่นั้นจึงเป็นเรื่องที่สภาฯและรัฐบาลจะต้องเร่งดำเนินการเพื่อให้กฎหมายงบประมาณ ปี 63 ผ่านความเห็นชอบโดยเร็ว

เมื่อมีช่องทางชัดเจนแล้วจึงต้องเร่งเครื่องทันที

...

ว่าไปแล้วงบประมาณปี 63 นั้น ช้ามานานแล้วเนื่องจากไม่มีการเตรียมการล่วงหน้าในสมัยรัฐบาล คสช.

พอมาถึงรัฐบาลใหม่ก็เลยเกิดปัญหาและเจอปัญหาซ้ำซ้อนขึ้นมาอีก

ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศก็รู้กันดีว่าต้องเร่งรีบแก้ไขยิ่งหากไม่มีเงินงบประมาณมาใช้ทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจ ดำเนินการตามนโยบายและโครงการต่างๆ

วันนี้เจอไวรัสโคโรนาเข้ามาสมทบอีก ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยว ซึ่งถือว่าเป็นรายได้หลักของประเทศจมหายไปอย่างที่เห็นๆกันอยู่

ไม่ใช่ทุกข์ของรัฐบาล นายกฯ หรือรัฐมนตรีเท่านั้น

แต่ประชาชนคนไทยนั่นแหละ... เจ็บหนักเข้าไปอีก

การเร่งเครื่องเรื่องเศรษฐกิจจึงเป็นประเด็นสำคัญ เพราะมันเกี่ยวข้องกับเรื่องปากท้องของคนส่วนใหญ่

ก็ต้องพิสูจน์ฝีมือให้ปรากฏ!

นายกฯและรัฐบาลชุดนี้ว่าไปแล้ว “จุดอ่อน” สำคัญก็คือเรื่องเศรษฐกิจไม่ใช่เรื่องเสียงปริ่มน้ำ หากทำให้เศรษฐกิจ ดีขึ้นประชาชนพอใจ

นั่นแหละคือยาวิเศษที่จะทำให้รัฐบาลอยู่รอดได้

ไม่ใช่ไปคลุกฝุ่นกับการเมืองจนละเลยเรื่องที่สำคัญกว่า

การเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านนั้นมันก็แค่เวทีให้นักการเมืองเปิดหน้าม่าน “ลิเก” โรงใหญ่

แสดงตนว่าใครเป็น “พระเอก”– “ผู้ร้าย” อันไม่ต่างไปจาก “ลิเกหลงโรง” เท่าใดนัก

หวังเอาชนะคะคานทางการเมืองกันเท่านั้น!!!

“ลิขิต จงสกุล”