“ไวรัสนรกอู่ฮั่น” ยังแผลงฤทธิ์ กระตุกต่อมผวาไปทั่วโลก

ตามตัวเลขผู้ติดเชื้อที่สูงขึ้นต่อเนื่องถึงหลักหมื่น ล้อกับจำนวนผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นรายวันเกิน 200 ราย บ่งบอกภาวะการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนาอันตรายที่ยังคุมไม่อยู่

ล่าสุดองค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศเป็นสถานการณ์ฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ

บางประเทศเริ่มพบการติดเชื้อจากคนสู่คน

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นส่วนใหญ่ของผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตก็อยู่ในสาธารณรัฐประชาชนจีนจุดเริ่มของการแพร่เชื้อ ขณะที่ประเทศปลายทางจุดอื่นๆยังแค่ประปราย

ยังไม่พบคนตายจากไวรัสอู่ฮั่นที่เป็นชาวต่างชาติ

รวมถึงสถานการณ์ในประเทศไทยที่มีการตรวจพบผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาอยู่ในจำนวนจำกัด และเกือบทั้งหมดก็เป็นนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เดินทางมาจากเมืองอู่ฮั่น รักษาหายส่งตัวกลับบ้านแล้ว

โดยการยืนยันจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม แถลงผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ให้ความมั่นใจ ไทยยังควบคุมการแพร่ระบาดได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

ผู้นำรัฐบาลต้องรีบสยบกระแสแตกตื่นของสังคม

อีกทั้งตามข้อมูลที่อ้างอิงได้ชัดๆจากดัชนีความมั่นคงทางสาธารณสุขของโลก ประเทศไทยอยู่อันดับ 6 ของประเทศที่มีการเตรียมตัวป้องกันโรคระบาดดีที่สุดในโลก

นั่นหมายถึงมาตรฐานในการรับมือกับไวรัสอันตราย

เพราะบุคลากรด้านสาธารณสุขของไทยเคยผ่านประสบการณ์รับมือกับโรคระบาดมาแล้ว ทั้งโรคระบบทางเดินหายใจเฉียบพลัน ซาร์ส เมอร์ส ฯลฯ โดยทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ว่ากันตามศักยภาพ สถานการณ์ก็ไม่ได้ถึงขั้นเลวร้ายนัก

แต่ที่ปั่นป่วนหนัก ก็มาจากโลกมโนโซเชียลแบบไทยๆ ที่ “เกรียนคีย์บอร์ด” ปั่นกระแส ปล่อย “fake news” สร้างข่าวลวง ข่าวเท็จ ผ่านเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ ไลน์ ฯลฯ

...

กดแชร์ กดไลค์กันมันมือ กระตุกขวัญกันทั่วบ้านทั่วเมือง

เรื่องของพวกบ้องตื้น ถึงจุดที่นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รมว.ดีอีเอส ต้องนำตำรวจศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ไล่ตามล็อกตัวกันถึงบ้าน จับคนโพสต์ข่าวปลอม ข่าวเท็จ “พัทยามีคนติดเชื้อไวรัสโคโรนา” ดำเนินคดีกับขบวนการป่วนซ้ำสถานการณ์

ต้องเสีย “ค่าโง่” จ่ายค่าวิชา “เกรียนออนไลน์” กันไปหลายกระทง

แต่ที่แสบกว่าก็คือนักการเมืองแดนสารขันธ์ที่ฉวยโอกาสเอาความเป็นความตายมาเป็นเกมโค่นอำนาจ ตามปรากฏการณ์จับทางทั้ง “ลูกพรรค–ลูกในไส้” ของนายใหญ่ดูไบ

ดาหน้าออกมาปฏิบัติการเบิ้ลบลัฟรัฐบาล

โชว์ฉากย้อนอดีตยุค “ทักษิณ” ส่งเครื่องบินไปรับคนไทยออกจากกัมพูชาตอนเหตุจลาจลเผาสถานทูตไทยกลางกรุงพนมเปญ จงใจให้เกิดภาพเทียบเคียงกับเสียงวิจารณ์กดดันรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ที่นิ่งเฉย ไม่ส่งเครื่องบินไปรับคนไทยในอู่ฮั่น ปล่อยให้เสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย

ทั้งๆรู้กันอยู่แก่ใจว่าเป็นมารยาททางการทูต หลักการสากลต้องให้ความเชื่อมั่นกับทางการจีน

มหาอำนาจเบอร์ต้นๆของโลก ไม่ใช่คิดจะบินเข้าออกสุ่มสี่สุ่มห้า

แรงกดดันรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ยังลามถึงการโวยวายมาตรการรับมือไวรัสโคโรนาที่ท่าอากาศยาน ตีคู่ไปกับเกมการตลาดยุคโซเชียลฯ ปั่นกระแส แฮชแท็ก# “รัฐบาลเฮงซวย”

หนักถึงขั้นเรียกร้องให้ปิดประเทศ สกัดคนจีนไม่ให้เข้าไทย

และเหมือนเข้าทางสไตล์เซียนคีย์บอร์ดรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข โพสต์โซเชียลฯ เสนอให้ยกเลิกการออกวีซ่าให้คนจีน ที่ขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินในประเทศไทย หรือ Visa on Arrival

อ้าง ต้องทำให้คนจีนเข้ามาประเทศไทยให้น้อยที่สุด เพื่อให้เกิดความสบายใจของคนไทย

ทั้งๆที่รัฐบาลจีนก็ประกาศห้ามคนของตัวเองออกทัวร์ต่างประเทศแล้ว เหลือที่ติดค้างยังกลับประเทศไม่ได้ แนวโน้มคนจีนแทบไม่ได้เดินทางเข้าเมืองไทยเพิ่ม ไม่จำเป็นต้องยกเลิก Visa on Arrival แต่อย่างใด

แต่นั่นเพราะออกแนวรับมุกโซเชียลฯ เล่นกระแสเฉพาะหน้า

คนของรัฐบาลก็ออกลูกนัว โดยมองข้ามสถานการณ์ระยะยาว ไม่ได้คำนึงถึงปัญหาหลังวิกฤติไวรัสอู่ฮั่นยุติ ถ้าจีนมองว่ารัฐบาลไทยไม่ได้แสดงความเป็นมิตรแท้ยามยาก แสดงอาการรังเกียจซ้ำกันตอนลำบาก

นักท่องเที่ยวจีนไม่กลับมา นั่นจะหายนะไม่น้อยกว่ากัน

ไวรัสโคโรนาอู่ฮั่น ผสมไวรัส fake news ซ้ำด้วยไวรัสการเมืองแบบไทยๆ ส่อทำเศรษฐกิจไทยติดเชื้อ รายได้จากการท่องเที่ยว เครื่องยนต์หลักที่เหลืออยู่เครื่องเดียว สะดุดอย่างหนัก

อาการสำลัก จะดับแหล่มิดับแหล่

และในจังหวะที่ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2563 ยังติดเชื้อ “ไวรัสจริยธรรมบกพร่อง” จากปัญหา ส.ส.เสียบบัตรแทนกัน โดยศาลรัฐธรรมนูญรับพิจารณาคำร้อง กรณีประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งความเห็นของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 148 วรรค (1) ว่า ร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ พ.ศ.2563 ตราขึ้นโดยไม่ถูกต้องตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือไม่

ตามกระบวนการ งบประมาณ 2563 ต้องล่าช้าออกไปแน่

ซึ่งนั่นก็เป็นโจทย์หนักๆกดทับไปที่นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ และนายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง ต้องเตรียมแผน 1 แผน 2 แผน 3 รองรับปัญหาเบิกจ่ายงบไม่ทัน

กระทบการอัดฉีดเม็ดเงินลงทุน กระตุ้นเศรษฐกิจภายใน

ที่แน่ๆ อย่างไรเสีย “ตัวปัญหา” ต้องโดนลงโทษฐานทำคนเดือดร้อนทั้งบ้านทั้งเมือง ตามสัญญาณที่นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ชี้ชัด ส.ส.ที่กดบัตรแทนกันต้องรับผิดชอบ

สภาฯติดเชื้อ “ไวรัสจริยธรรม” ต่อมความรับผิดชอบ ส.ส.บกพร่อง

แต่ผู้นำฝ่ายบริหารอย่าง “นายกฯลุงตู่” ก็หนีไม่พ้นต้องโดนลากเข้าเหลี่ยมกระแทกซ้ำ ฝ่ายค้านเรียกร้องให้ลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯที่มีปัญหา

เรียกว่า นายกฯโดนทั้งขึ้นทั้งล่อง

ไหนจะต้องเตรียมตัวพร้อมรับงานใหญ่ ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจ

ล่าสุดนายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภา นำ 6 พรรคฝ่ายค้าน ยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ต่อนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร

ล็อกเป้า เหยื่อขึ้นเขียงเชือด 6 ราย

ประกอบด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกฯ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ และ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.เกษตรและสหกรณ์

ชักเข้า ชักออก จนนาทีสุดท้าย

จากเดิมที่มีการให้ข่าวกับสื่อมวลชนตอนแรกมีการกำหนดรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไว้ทั้งหมด 9 ราย แต่ไปๆมาๆ ตัดออก 3 คน เหลือแค่ 6 คน

โดยคนที่รอดตัวไปคือนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯ นายอุตตม สาวนายน รมว.คลัง และนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.สาธารณสุข

จังหวะลุกลี้ลุกลน ท่ามกลางกระแสฝ่ายค้านเหยียบตาปลากันเอง

อย่างที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ประธานคณะกรรมการกิจการพิเศษ พรรคเพื่อไทย ย้ำแล้วย้ำอีกไม่เอาชื่อ พล.อ.ประวิตร แต่สุดท้ายก็มีชื่อ “พี่ใหญ่” ในบัญชีเชือด

เพื่อไทย อนาคตใหม่ เสรีรวมไทย เห็นไม่ตรงกัน และที่ชัดเจนก็คือพรรคเศรษฐกิจใหม่ ถอนตัวไม่เข้าร่วมทีมอภิปราย ทิ้งนายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ให้โดดเดี่ยวอยู่กับฝ่ายค้าน

ตามรูปการณ์ ฝ่ายค้านยวบยาบไม่เป็นทีม

แต่โฟกัสญัตติฯใช้คำรุนแรงแบบที่ว่า “เป็นผู้นำประเทศที่กร่างเถื่อน ได้อำนาจมาโดยไม่ชอบธรรม”

ประกอบกับการตัด “สมคิด–อุตตม” ออกจากบัญชี มันก็มองได้เป็นการตัด “ตัวช่วย” เคลียร์ปมเศรษฐกิจ ไม่ให้ “สมคิด” ใช้ลูกเขี้ยวย้อนศร โชว์เชิงบริหารระดับอ๋อง สอนเชิงทีมเชือด “นกแล”

ที่สำคัญไม่แตะต้องพรรคร่วมรัฐบาลอย่างภูมิใจไทย ประชาธิปัตย์ ทั้งๆที่เป็นจุดถ่วงทำให้เศรษฐกิจเดินได้ขาเดียว กระทรวงในโควตาพรรคร่วมทั้งเกษตรฯ พาณิชย์ คมนาคม แทบไม่ขยับเนื้องาน

มันก็ชัดเจนโดยยุทธศาสตร์ เกมนี้มุ่งเป้าทุบแม่ทัพใหญ่

ฝ่ายค้านจ้องจัดหนัก “นายกฯลุงตู่” แบบเน้นๆ เล่นงานเหมาเข่งพี่น้อง 3 ป. “ป้อม–ป๊อก–ประยุทธ์” ถล่มขุมอำนาจ คสช. เบื้องหลังการรัฐประหารรัฐบาล “น้องปู” อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร

เอาคืนพวกล้มกระดานอำนาจนอมินี “ทักษิณ”

ล้างแค้น ทวงบัญชีทบต้นทบดอกให้ “นายใหญ่”

ในสถานการณ์เหมือนรัฐบาล “อมโรค” ไวรัสรุมกระหน่ำ ทั้งวิกฤติไวรัสมรณะอู่ฮั่น ไวรัสจริยธรรม ส.ส.บกพร่อง ทำงบประมาณ 2563 สะดุด เศรษฐกิจกระอัก ซ้ำด้วยไวรัสการเมืองศึกหนักอภิปรายไม่ไว้วางใจ

อีกนัย มันคือบทพิสูจน์ “นายกรัฐมนตรีเลือกตั้ง”

ตามจังหวะที่ต้องผ่านสถานการณ์หนักหนาสาหัสสากรรจ์ ล้อคำทำนายโหรตรวจดวงเมือง พล.อ.ประยุทธ์จะเผชิญสถานการณ์พลิกคว่ำพลิกหงายในห้วงเดือนมีนาคม เมษายน

ถ้าพ้นวิบากกรรมห้วงอันตรายไปได้ “ลุงตู่” ก็ตีตั๋วยาว.

ทีมข่าวการเมือง