"สุวัจน์" ประเมินปี 63 รบ.ต้องสร้างเสถียรภาพเศรษฐกิจ เตือน ระวัง 2 ข้อ "เสถียรภาพค่าเงินบาท-หนี้สาธารณะ" ชม รัฐบาลจัดการดีแม้เสียงปริ่มน้ำ เชื่อ ส.ว.หนุนแก้ รธน. ถ้าทำเพื่อชาติ ปัดตอบ พลังท้องถิ่นไท ดันโควตา รมต.ทาบ ชพน.
วันที่ 29 ธ.ค. ที่บ้านพักเลขที่ 333 ซ.ราชวิถี 20 นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา กล่าวอวยพรช่วงปีใหม่ให้กับประชาชน ว่า ขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก ดลบันดาลประทานพรให้พี่น้องประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ ประสบแต่ความสุข ความเจริญ และขอให้เศรษฐกิจของประเทศชาติเดินไปได้ด้วยความเรียบร้อย ขอให้ทุกคนมีแต่ความสุข มีสุขภาพแข็งแรง
จากนั้นให้สัมภาษณ์โดยวิเคราะห์การเมืองช่วงที่ผ่านมา และมองการเมืองในปี 2562 เป็นอย่างไร ว่า ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นปีแรกของรัฐบาล ก็จะมีเสียงปริ่มน้ำ ซึ่งก็กังวลกันว่ารัฐบาลจะอยู่ในลักษณะใด แต่ก็ถือว่า รัฐบาลยังสามารถประคับประคองสถานการณ์ทางการเมืองท่ามกลางเสถียรภาพเสียงปริ่มน้ำผ่านมาได้ แม้ว่าจะไม่ราบรื่นนักจากเสียงที่เกินกึ่งหนึ่งมาไม่กี่เสียง แต่ก็แสดงให้เห็นว่า ภายในพรรคร่วมรัฐบาลยังมีความเป็นปึกแผ่น ไม่มีปัญหาอะไรที่ไปกระทบความไม่เข้าใจกันในระดับรุนแรง ซึ่งจะมีอะไรบ้างก็เหมือนเป็นแค่ลิ้นกระทบกับฟัน ดังนั้น 1 ปีที่ผ่านมา เสถียรภาพของรัฐบาลโดยรวมยังถือว่าใช้ได้ และจากบรรยากาศช่วงโค้งสุดท้าย ที่ได้พบปะกันในแกนนำ และระหว่าง ส.ส.ด้วยกัน ก็ได้แสดงออกถึงความชัดเจนว่า เสถียรภาพของรัฐบาลยังบริหารจัดการได้
นายสุวัจน์ กล่าวว่า ส่วนในปีหน้า 2563 หากรัฐบาลสามารถบริหารจัดการเสถียรภาพทางการเมืองได้เหมือนที่เคยแสดงให้เห็นว่า มีรูปแบบการบริหารจัดการที่ทำให้ปัญหาเรื่องเสถียรภาพการเมือง ลดน้อยลงไป โดยถ้ามีเหตุการณ์ทางการเมืองอะไรก็แล้วแต่เกิดขึ้น ก็สามารถมาเติมเสียงให้รัฐบาลสร้างความเข้มแข็งมากขึ้นด้วย ดังนั้นจึงมองว่าเสถียรภาพเสียงปริ่มน้ำ จะไม่เป็นภาระหนักเพราะรัฐบาลผ่านมา และเข้าใจถึงวิธีการบริหารจัดการ ซึ่งหากปีหน้าก็จะมีเรื่องงบประมาณที่เป็นเรื่องสำคัญ หรือจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ก็น่าจะผ่านได้เหมือนการรักษาจัดการเสถียรภาพทางการเมืองเสียงปริ่มน้ำ
...
"ถ้าจะถามว่าปีหน้ามีอะไรที่น่าเป็นห่วง ผมคิดว่า เมื่อเสถียรภาพทางการเมืองเป็นเรื่องบริหารจัดการได้แล้ว ซึ่งปีนี้ถือเป็นรัฐบาลใหม่ รัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ แต่ก็บริหารจัดการได้ และยังต้องบริหารทั้งเรื่องเศรษฐกิจ ก็เหมือนปั้นยักษ์ทีละตัว ปีหน้าก็น่าจะเป็นเรื่องที่ต้องสู้เรื่องเศรษฐกิจอย่างเต็มที่ สร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ จึงเป็นเรื่องที่รัฐบาลต้องทำงานหนักเรื่องเศรษฐกิจ" นายสุวัจน์ กล่าว
นายสุวัจน์ กล่าวถึงสภาพการณ์เศรษฐกิจในปี 2563 ว่า ต้องยอมรับว่า ในปีนี้เศรษฐกิจไม่สดใสนัก เพราะต้องเจอทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจการค้าโลก ที่ถดถอยจากปัญหาสงครามการค้า สหรัฐฯ-จีน หรือการถอนตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป หรือ EU ที่เรียกว่า"เบร็กซิต" ก็ทำให้ไทยได้รับผลกระทบตามไปด้วย เช่น การส่งออกที่ปีนี้คาดการณ์น่าจะติดลบ 2% จากปี 2561 ที่โต 6% หรือการท่องเที่ยวแม้ว่าจะยังดีอยู่แต่ก็ต่ำกว่าเป้าหมาย หรือ จีดีพีไม่ถึง 3% ดังนั้นสะท้อนให้เห็นว่า เศรษฐกิจเราไปผูกกับเศรษฐกิจโลก ปี 2563 จึงน่าจะเป็นปีที่เราทุ่มเทสรรพกำลังในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ ซึ่งสถานการณ์เศรษฐกิจโลกปีหน้า IMF ก็ประเมินมาแล้วว่า คงจะดีขึ้น อย่างปีที่ผ่านมา จีดีพีเศรษฐกิจโลกอยู่ที่ 3.1 ปีหน้าก็น่าจะโตขึ้นเป็น 3.3-3.4 และปัญหากระทบกระทั่งการค้าระหว่างสหรัฐฯ-จีน คาดว่าช่วงมกราคม อาจจะบรรลุข้อตกลงของเฟสหนึ่งของการยุติสงครามการค้า หากเป็นเช่นนั้นปัญหาเศรษฐกิจโลกจะเบาลง
ส่วนเศรษฐกิจไทยจะเป็นอย่างตนเห็นว่า ก็น่าจะกระเตื้องขึ้นตามสภาพของเศรษฐกิจโลก โดยหากปัญหาการค้าสหรัฐฯ-จีนดีขึ้น กำลังซื้อก็น่าจะดีขึ้นแล้วปัญหาการส่งออกของเราที่เคยติดลบก็น่าจะกลับมามีแรงบวก 2-3% และปัญหาเรื่องนักท่องเที่ยวจีนหายไปหรือลดลงไปก็น่าจะกลับคืนมาในสภาพที่ดีกว่าเดิมด้วย สำหรับเรื่องค่าเงินบาทของไทยนั้นขณะนี้ก็แข็งค่าถึงที่สุดแล้ว 6-7% เป็นอันดับหนึ่งในเอเชียเลย ดังนั้นในปีหน้าค่าเงินบาทของไทยก็ไม่น่าจะแข็งค่าขึ้นอีกแล้วปัญหาผลกระทบเรื่องการส่งออกจากค่าเงินบาทแข็งตัวก็คงไม่รุนแรงกว่านี้แล้ว
ทั้งนี้ หากเรื่องงบประมาณของเรา สามารถที่จะประกาศใช้ได้ในเดือน ก.พ.63 จำนวน 3.2 ล้านล้านบาท ก็จะทำให้มีการลงทุนภาครัฐสูงขึ้น 5-6% ขณะที่งบประมาณนี้ที่จริงควรจะประกาศใช้ก่อน 30 ก.ย.62 แต่เมื่อประกาศได้ล่าช้า ช่วงเวลาก็จะมาใกล้เคียงกับงบฯ ปี 2564 ที่จะออกต่อไป ดังนั้นปีหน้าจึงเหมือนกับงบประมาณ 2 เด้งมารวมกันเป็นเงินกว่า 6 ล้านล้านบาท ก็ถือว่าเป็นก้อนเงินมหาศาลที่จะเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจแล้วทำให้เกิดการลงทุนภาครัฐมากขึ้น มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น แล้วภาคเอกชนจะอยู่ในสภาวะลงทุนตาม เหมือนช่วงมีมาตรการชิมช้อปใช้ หรือการส่งเสริม Street food ในการท่องเที่ยว หรือการท่องเที่ยวเมืองรอง ที่ตนเห็นว่ารัฐบาลเดินมาถูกทางแล้วในการกระตุ้นการบริโภค ขณะที่หากรัฐบาลสามารถพยุงเสถียรภาพทางการเมืองได้ก็จะทำให้มีพละกำลังในการที่จะเข้าไปทำงานด้านเศรษฐกิจให้ดีกว่าปีนี้
"ข้อที่ควรระมัดระวังเรื่องเศรษฐกิจคือ 1.เราต้องดูแลเสถียรภาพของเงินบาทให้เหมาะสมที่ส่งเสริมการส่งออกและการท่องเที่ยวโดยให้มีมาตรการดูแลที่เป็นสากล 2.เราต้องดูแลเรื่องหนี้สาธารณะ ที่ขณะนี้ระดับหนี้เราอยู่อันดับที่ 2 ในเอเชียซึ่งถือว่าสูงมาก ดังนั้นต้องดูแลภาคเกษตร, SME ซึ่งถ้าเราดูแลตลาดการส่งออกได้เพิ่ม ดูแลค่าเงินให้เหมาะสม ดูแลหนี้สาธารณะไม่ให้สูง ดูแลเรื่องการรีแทรนนิ่งแรงงาน และการจ้างงาน การปรับโครงสร้างด้านการแข่งขันของประเทศให้มีต้นทุนการผลิตให้ต่ำ ขณะที่ทั่วโลกก็กำลังเปลี่ยนแปลงภูมิรัฐศาสตร์เรื่องเขตการค้าต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นเราต้องติดตามให้ทัน ซึ่งเศรษฐกิจที่ประชาชนกังวล มองว่าปีหน้าจะดีกว่าจากผลเศรษฐกิจโลกและมาตรการที่รัฐบาลเราได้ทำ" นายสุวัจน์ กล่าว
นายสุวัจน์ กล่าวถึงกรณีมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำงานไม่เป็นเอกภาพ อาจเป็นปัจจัยกระทบต่อเสถียรภาพรัฐบาล ว่า เป็นเรื่องของการบริหารจัดการ ถ้าโครงสร้างดี แล้วเศรษฐกิจโลกดีขึ้น รัฐบาลสามารถกระชับพื้นที่การทำงานให้มีความเป็นทีมเวิร์คมากขึ้น ก็เป็นเรื่องที่เป็นบวก
"เป็นเรื่องของลิ้นกับฟัน แต่ที่ผ่านมาผมดูมาตลอดตั้งแต่จัดตั้งรัฐบาล ยังไม่มีอะไรที่เป็นปัญหาต่อด้านความมั่นคงทางการเมืองมากนัก ยังสามารถบริหารจัดการได้อยู่ ถึงแม้ว่าจะปริ่มน้ำบ้าง แม้อาจจะแพ้ในบางเรื่อง แต่ในเรื่องที่สำคัญก็ยังโอเค ที่สำคัญจะต้องรอดู 2 ด่าน คือ งบประมาณ กับ การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ถ้าสามารถผ่าน 2 ด่านนี้ได้ ก็แสดงให้เห็นว่าประสบการณ์บริหารจัดการเสถียรภาพทางการเมืองท่ามกลางเสียงปริ่มน้ำถือว่าสอบผ่าน" นายสุวัจน์ กล่าว
เมื่อถามว่า หากมีปัจจัยแทรกอย่างพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบ จะกระทบหรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่เกิดกับฝ่ายค้าน คงไม่มีผลกระทบต่อเสถียรภาพของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ถ้าพรรคอนาคตใหม่ถูกยุบจริง ตัวเลขสมการทางการเมืองย่อมเปลี่ยนไป ตัวเลขของฝ่ายค้านอาจจะเท่าเดิมหรือน้อยลงไป เพราะเมื่อมีพรรคการเมืองถูกยุบ ส.ส.ก็ต้องไปหาพรรคใหม่สังกัด ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของแต่ละพรรคการเมืองว่า ยังสามารถควบคุมรักษาดูแลไว้ได้หรือไม่ เนื่องจากไม่ใช่พรรคการเมืองที่อยู่ในส่วนของรัฐบาล ดังนั้นไม่น่าจะมากระทบกับตัวเลขที่รัฐบาลมีอยู่
เมื่อถามว่า แสดงว่าจะทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพมากขึ้น นายสุวัจน์ กล่าวว่า ต้องแล้วแต่การตัดสินใจของสมาชิกพรรคการเมืองพรรคนั้นว่า จะไปอยู่ซีกไหน ถ้ายังอยู่ซีกเดิมตัวเลขก็เหมือนเดิม ถ้าย้ายซีกตัวเลขก็เปลี่ยน
เมื่อถามว่า ส่วนตัวมองว่าปัญหาภายในรัฐบาลเองหรือการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้านจะน่าเป็นห่วงมากกว่ากันสำหรับรัฐบาล นายสุวัจน์ กล่าวว่า ตนมองว่าในกลุ่มของพรรคร่วมรัฐบาลขณะนี้ต้องยอมรับว่า มาจิ้นต่างจริงๆ แต่เท่าที่ดูยังไม่มีอะไรที่เป็นปัญหามากนัก มีเพียงปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ดังนั้นเรื่องเสถียรภาพทางการเมืองยังถือว่าบริหารจัดการได้
นายสุวัจน์ กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาหลักเกณฑ์ และแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ และถือเป็นเรื่องหนึ่งในนโยบายของรัฐบาลด้วยในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และก่อนเลือกตั้งทุกพรรคการเมืองก็ชูประเด็นนี้ ดังนั้นเมื่อมีกรรมาธิการและมีตัวแทนจากหลายพรรคเข้าไปแล้ว ก็ต้องทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง
อย่างไรก็ตาม กรรมาธิการชุดนี้ยังไม่ใช่ชุดแก้ไข แต่เป็นกรรมาธิการเพื่อศึกษา แนวทางในการแก้ไข ว่า แนวทางในการแก้ไขหลังจากใช้รัฐธรรมนูญแล้ว ปัญหาของรัฐธรรมนูญฉบับนี้คืออะไร ในมุมเศรษฐกิจคืออะไร ในมุมการเลือกตั้งคืออะไร ในมุมการเมืองคืออะไร การจัดตั้งรัฐบาลบริหารราชการแผ่นดิน ในมุมนั้นมุมนี้คืออะไรเพื่อรวบรวมมาแล้วคิดว่าอะไรที่ควรแก้หรืออะไรที่ไม่ควรแก้ ลำดับความสำคัญแก้ก่อนแก้หลัง วิธีการแก้จะเป็นอย่างไร น่าจะออกมาในแนวนี้ ส่วนเนื้อหาว่าจะแก้เรื่องไหนอย่างไรต้องขึ้นอยู่กับกรรมาธิการ
"แต่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดว่ากรรมาธิการควรรับฟังคือเสียงของนอกสภา นักวิชาการ นักธุรกิจ ต่างประเทศ พี่น้องประชาชน เกษตรกร รากหญ้า เขามีความกังวลหรือมีความรู้สึกอย่างไรบ้างว่ารัฐธรรมนูญนี้ควรตบแต่งแก้ไขในประเด็นไหน ถ้าสามารถที่จะมีเวทีรับฟังความคิดเห็นเพิ่มเติมจากคนนอกกรรมาธิการได้ก็คิดว่าจะทำให้กรรมาธิการ ได้ข้อมูลมากขึ้นและทำให้ผลการศึกษาจะสมบูรณ์ ทำให้เรารู้ว่าเราจะนับหนึ่งเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อไปอย่างไร" นายสุวัจน์ กล่าว
เมื่อถามว่าขณะนี้หลายคนมองว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่น่าจะแก้ไขได้ ส่วนตัวมองว่าจะสามารถแก้ไขได้หรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า ถ้าศึกษามาแล้ว ทุกคนเห็นด้วยก็เชื่อว่าต้องไปแนวนั้น ขึ้นอยู่กับว่า เรายอมรับหรือไม่ ถ้าทุกคนเห็นว่า นี่เป็นปัญหาของประเทศ และจำเป็น เพื่อความอยู่รอด เพื่อความเรียบร้อยของประเทศ ทุกอย่างก็ต้องว่ากันไปตามรัฐธรรมนูญ เมื่อเห็นตรงกันก็ว่ากันไปตามนั้นมีอุปสรรคอะไรก็ช่วยแก้ไขเป็นสเต็ปๆ เพราะปัญหามีไว้ให้แก้อยู่แล้ว
เมื่อถามว่า คิดว่าวุฒิสภาจะยอมรับและสนับสนุนหรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า ขึ้นอยู่กับการยอมรับ หากชี้ให้ ส.ว.เห็นว่าจำเป็น ถ้าแก้ไขอันนี้แล้วประเทศชาติจะดีขึ้น เศรษฐกิจดีขึ้น เชื่อว่า ส.ว. ทุกคนต่างรับฟังข้อเท็จจริง และเหตุผลที่คณะกรรมาธิการจะนำเสนอ เชื่อว่า ทั้ง ส.ส.และ ส.ว. ทุกคนต่างมีอารมณ์ในความเป็นตัวแทนของประชาชนเหมือนกัน ดังนั้นจะคิดจะตัดสินใจอะไรทุกคนย่อมมองประเทศชาติเป็นหลัก
นอกจากนี้ นายสุวัจน์ ยังตอบคำถามผู้สื่อข่าวถึงกรณี น.ส.กวินนาถ ตาคีย์ ส.ส.ชลบุรี พรรคอนาคตใหม่ ย้ายเข้าเป็นสมาชิกพรรคพลังท้องถิ่นไทแล้ว ทำให้มี 4 เสียงเท่ากับพรรคชาติพัฒนา จะส่งผลถึงโควตาเก้าอี้รัฐมนตรีของพรรคชาติพัฒนาหรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า ตนไม่ทราบ
เมื่อถามว่า ยังมีอีก 2 ส.ส.อนาคตใหม่ ที่ถูกขับออกแล้วยังไม่ย้ายเข้าสังกัดพรรคใดจะไปจีบมาหรือไม่ นายสุวัจน์ กล่าวว่า ตนยังไม่ทราบเรื่องนี้ เป็นเรื่องของการตัดสินใจของแต่ละคน ยังไม่ทราบว่าทั้ง 4 คนนั้นย้ายไปที่ไหนบ้าง
"เอาเป็นว่าถ้ามาอยู่ฝั่งรัฐบาลก็ทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพมากขึ้น มองเท่านั้น ส่วนจะอยู่พรรคไหนก็ไม่เป็นไร เป็นห่วงเสถียรภาพภาพรวมของรัฐบาลมากกว่าเสถียรภาพของแต่ละพรรคการเมือง" นายสุวัจน์ กล่าว